พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
เสนอทางออกน้ำท่วมขังเขตกรุงเทพชั้นใน ทำ “แก้มลิงใต้ดิน”
ตามแนวพระราชดำริรัชกาลที่ 9 ใช้พื้นที่สวนเบญฯ 130 ไร่ งบประมาณ 1,000 ล้านบาท พัฒนาครอบคลุม 4 เขต ขนาดพื้นที่ 9 แสนตร.ม. ช่วยเก็บน้ำได้ 1 แสน ลบ.ม.
จะช่วยลดการสูญเสียทางเศรษฐกิจกว่า 440 ล้านบาท
ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดี
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า หนึ่งในปัญหาใหญ่ที่กรุงเทพฯ
กำลังประสบ ไม่ใช่ปัญหาอุทกภัย แต่เป็นปัญหาน้ำท่วมขังในช่วงฝนตก ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชน
การคมนาคม ตลอดจนก่อให้เกิดมูลค่าการสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก
จึงเป็นที่มาของไอเดียนวัตกรรม “แก้มลิงใต้ดิน BKK” ตามแนวพระราชดำริของรัชกาลที่
9
ทั้งนี้ โครงสร้างกรุงเทพฯ เป็น แอ่งกระทะ
ถนนต่ำกว่าระดับแหล่งน้ำ เมื่อฝนตกลงมา น้ำจึงระบายไม่ได้
เพราะท่อระบายน้ำอยู่สูงกว่าซอย สูงกว่าถนน และแม้ว่ากรุงเทพจะมีอุโมงค์ยักษ์ระบายน้ำ
เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม แต่ขีดความสามารถในการระบายน้ำที่จำกัด และปัญหาขยะอุดตัน
ทำให้ไม่สามารถลำเลียงน้ำไประบายได้เต็มประสิทธิภาพ ทำให้มีปริมาณน้ำรอระบายบนพื้นถนนมากเกินไป
จนเกิดปัญหาน้ำท่วมขัง
ดังนั้น เทคโนโลยีที่จะนำมาแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ก็คือการสร้างแก้มลิงใต้ดินตามแนวพระราชดำริของรัชกาลที่ 9 ซึ่งที่กรุงโตเกียว
ประเทศญี่ปุ่นเอง ก็มีการสร้างแก้มลิงเก็บกักน้ำไว้ใต้ดิน
และสามารถเก็บน้ำได้มากถึง 350,000 ลูกบาศก์เมตร
อธิการบดี สจล.กล่าวเพิ่มเติมว่า แก้มลิงใต้ดิน
เป็นนวัตกรรมอ่างเก็บน้ำใต้ดิน ซึ่งใช้วิธีเปิดหน้าดินเป็นช่องเล็กๆ
แล้วใช้เครื่องมือเจาะคว้านดินด้านใน สร้างเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ใต้ดินขึ้น
และสร้างท่อระบายน้ำหลัก 4 ท่อ พร้อมเชื่อมกับระบบท่อระบายอื่นๆ ของกทม.
เพื่อลำเลียงน้ำฝนบนพื้นถนน ไปกักเก็บไว้ใต้ดินเพื่อรอระบายไปยังแหล่งน้ำ
สจล. มีแนวคิดการพัฒนานำร่องในพื้นที่สวนเบญจกิติ
บนพื้นที่กว่า 130 ไร่ มีขอบเขตการให้บริการครอบคลุมพื้นที่ 900,000 ตารางเมตร ใน
4 เขต คือ เขตคลองเตย เขตวัฒนา เขตสาทร และเขตยานนาวา
ครอบคลุมย่านเศรษฐกิจชั้นในทั้งย่านพระราม 4 สุขุมวิท คลองเตย และสาทร
ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวจะปราศจากปัญหาเมื่อทำการก่อสร้างและปัญหาเวนคืนที่ดิน
โดยสามารถรองรับปริมาณน้ำได้กว่า 100,000 ลูกบาศก์เมตร
ช่วยจัดการปัญหาน้ำท่วมขังอย่างมีประสิทธิภาพได้ภายใน 15 นาที
โดยคาดคะเนมูลค่าการลงทุนก่อสร้างราว 1,000 ล้านบาท ซึ่งหากแล้วเสร็จ
จะทำให้พื้นที่เศรษฐกิจกรุงเทพฯ ชั้นใน ย่านดังกล่าว
ไม่มีปัญหาน้ำท่วมขังเนื่องจากน้ำรอระบายอีกต่อไป

“จากการวิจัยพบว่า
หากมีพื้นที่น้ำท่วมขังราว 50% ของพื้นที่กรุงเทพ เป็นระยะเวลา 120 นาที
จะก่อให้เกิดมูลค่าการสูญเสียทางเวลาและเศรษฐกิจสูงกว่า 500 ล้านบาท
ซึ่งหากเราลดระยะเวลาน้ำท่วมขังในพื้นที่ลงมาเหลือ 15 นาที
จะมีมูลค่าการสูญเสียเพียง 60 ล้านบาท หรือเท่ากับสามารถลดมูลค่าการสูญเสียได้กว่า
440 ล้านบาท ในทุกครั้งที่ฝนตกน้ำท่วม และเมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขมูลค่าการสูญเสียทางเศรษฐกิจต่อผลิตภัณฑ์รวมในประเทศ
(GDP) ในระยะเวลาน้ำท่วมขัง 2 ชั่วโมงต่อฝนตกหนึ่งครั้ง
อยู่ที่ 0.0114% นับว่าแก้มลิงใต้ดิน ใช้งบลงทุนที่น้อย
แต่สามารถช่วยจัดการปัญหาเพิ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าว
จากวิเคราะห์ของสำนักวิจัยนวัตกรรมเมืองอัจฉริยะ
(SCiRA) สจล. ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า
การมีแก้มลิงใต้ดินจะช่วยลดปัญหาน้ำท่วมขังที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจภาพรวม
พร้อมกับการพัฒนานวัตกรรมการออกแบบระบบส่งน้ำ เพื่อการแก้ไขแบบครบวงจร
ต่อยอดการบริหารจัดการได้อย่างเป็นระบบ เช่น
การเพิ่มระบบการถ่ายน้ำออกจากแก้มลิงใต้ดินไปยังแหล่งน้ำโดยตรง
ซึ่งจะทำให้แก้มลิงใต้ดินสามารถเก็บน้ำรอระบายจากพื้นดินได้เพิ่มขึ้น
หรืออย่างการสร้างแก้มลิงใต้ดินในตรอกซอยที่เกิดน้ำท่วมขังเป็นประจำ เช่น
ย่านราชดำริ ย่านประตูน้ำ เป็นต้น โดยจะทำให้น้ำถูกถ่ายเก็บเข้าสู่แก้มลิงในซอยก่อน
ไม่ทำให้ไปท่วมซอยในทันที นอกจากนี้หากมีการประยุกต์นวัตกรรมอื่นๆ เพิ่มขึ้น
ตัวอย่างเช่น นวัตกรรมบำบัดสภาพน้ำ ก็จะสามารถนำน้ำที่ถูกเก็บไว้ใต้ดิน
กลับมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ได้อีกครั้ง
ก.ค. 62
|