บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร ได้รับ ESG 100 Company ปี 2563 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยมี 39 โครงการที่ผ่านการคัดเลือกจาก 9 สายธุรกิจ นอกจากนี้ ยังได้รับ 5 รางวัล “The Asian Excellence Awards 2020” ทั้งด้าน ซีอีโอยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย นักลงทุนสัมพันธ์ยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย เป็นต้น สะท้อนถึงองค์กรที่มีธรรมภิบาลที่ดี รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ รับมอบประกาศนียบัตร “Certificate of ESG 100 Company” ปี 2563 จากสถาบันไทยพัฒน์ สะท้อนความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และยึดหลักธรรมาภิบาล ตลอดจนคำนึงถึงผลตอบแทนต่อนักลงทุนและผู้มีส่วนได้เสีย สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
ในเรื่องนี้นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ ได้กล่าวว่า นับเป็นความภาคภูมิใจของบริษัทฯ ที่ได้ทำกิจกรรมที่เหมาะสมเพื่อส่วนรวม ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนภายใต้หลักการ ESG ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญา 3 ประโยชน์ คือ ประเทศชาติ ประชาชน และบริษัท โดยมุ่งสู่เป้าหมายความยั่งยืนระดับสากล สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) เพื่อสร้างสมดุลการดำเนินธุรกิจในมิติเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม โดยยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาลสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
ทุกธุรกิจของ ซีพีเอฟ มีการจัดกิจกรรมอย่างเหมาะสมทั้งการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม การช่วยเหลือและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนรอบสถานประกอบการอย่างรับผิดชอบ เช่น โครงการ ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 2,388 ไร่ และโครงการซีพีเอฟ รักษ์นิเวศลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง เพิ่มพื้นที่ป่า 6,000 ไร่
“เราเชื่อมั่นว่าการขับเคลื่อนองค์กรโดยยึดหลักการ ESG เป็นพื้นฐานสำคัญ ที่นำมาซึ่งความไว้วางใจ ความสามารถในการแข่งขัน ประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินงาน ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ ผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ รวมถึงบริษัทฯ ในระยะยาว ขณะเดียวกันจะสามารถตอบสนองคุณค่าที่ดีให้กับชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน” นายประสิทธิ์ กล่าว
ประกาศนียบัตร “Certificate of ESG 100 Company” ที่ได้รับในครั้งนี้ มีโครงการที่ผ่านการคัดเลือกทั้งหมด 39 โครงการ จาก 9 สายธุรกิจ ประกอบด้วย อาหารสัตว์บก สุกร ไก่เนื้อ ไก่ไข่ เป็ดเนื้อ สัตว์น้ำ อาหารสำเร็จรูป ห้าดาวและร้านอาหาร และธุรกิจครบวงจรภาคเหนือ แบ่งเป็นประเภทยอดเยี่ยม จำนวน 7 โครงการ รางวัลดีเด่น จำนวน 12 โครงการ และรางวัลชมเชย จำนวน 20 โครงการ โดยมีกิจกรรมหลากหลายครอบคลุมด้านอาหารปลอดภัย อนุรักษ์ธรรมชาติ และการสร้างรายได้เสริมให้คนในชุมชน เพื่อสร้างสังคมและสมดุลธรรมชาติอย่างยั่งยืน
ด้านดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์ กล่าวว่า การที่ ซีพีเอฟ ได้รับการจัดอันดับอยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG 100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทฯ ได้ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และมีการดำเนินงานที่คำนึงถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เป็นบริษัทชั้นนำระดับแนวหน้าในกลุ่มธุรกิจอาหาร ที่ทำธุรกิจบนจุดแข็งของประเทศ และสามารถนำบริษัทไปสู่เวทีโลก อย่างรับผิดชอบภายใต้ปัจจัย ESG ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ยืนยันการดำเนินธุรกิจด้านความยั่งยืน
ดังนั้นการจัดอันดับบริษัทจดทะเบียนด้านการพัฒนาความยั่งยืนของธุรกิจนี้ จะช่วยรองรับความต้องการของผู้ลงทุนที่ให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ และเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีคุณภาพและได้รับผลตอบแทนไม่ด้อยไปกว่าการลงทุนในแบบทั่วไป
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ยังสามารถคว้า 5 รางวัล The Asian Excellence Awards 2020 ที่จัดโดยนิตยสาร Corporate Governance Asia ซึ่งประกอบด้วยรางวัล“ซีอีโอยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย” (Asia’s Best CEO) รางวัล“ซีเอฟโอยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย” (Asia’s Best CFO) รางวัล “นักลงทุนสัมพันธ์ยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย” (Best Investor Relations Professional) และตัวองค์กร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด(มหาชน) ได้รับรางวัล “บริษัทนักลงทุนสัมพันธ์ยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย” (Best Investor Relations Company) และ “ซีเอสอาร์ยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย” (Best CSR Company)
อนึ่ง รางวัล Asia Excellence Awards เป็นรางวัลอันทรงเกียรติที่ Corporate Governance Asia มอบให้แก่องค์กรที่มีการบริหารจัดการด้านธรรมาภิบาลดีเยี่ยม เพื่อเป็นการสนับสนุนและให้เกียรติแก่องค์กรที่มีธรรมาภิบาลที่ดีในภูมิภาคเอเชียที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจและเป็นที่สนใจของนักลงทุน ครอบคลุม รางวัลที่มอบให้แก่ผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ มีการบริหารจัดการด้านการเงิน ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และมีความสัมพันธ์ต่อนักลงทุนอันดีเยี่ยม ซึ่งคัดสรรจากบริษัทต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย ทั้งจีน ฮ่องกง อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลี อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน ไทย และ เวียดนาม จากผลการสัมภาษณ์นักลงทุน ประกอบกับข้อมูลขององค์กร
พ.ย. 63
|