นักวิชาการ ม.มหิดล เตือน
รถยนต์อีกเกือบ 6 แสนคัน ยังใช้ถุงลมนิรภัยแบบเก่า ควรเช็คและรีบเปลี่ยนในรถ 8
ยี่ห้อ ที่ผลิตตั้งแต่ปี 1998 -2018 ก่อนจะเกิดเหตุเหมือนผู้ขับรถท่านหนึ่งที่เจอถุงลมระเบิดใส่
จากกรณี ชายวัย 46 ปี บาดเจ็บสาหัสเฉียดตาย
ถูกแอร์แบค หรือถุงลมนิรภัยรถยนต์ระเบิดใส่ ชิ้นส่วนฝังเข้าบริเวณอกและท้อง
ถือเป็นรายที่ 6 ในประเทศไทย ซึ่งชายคนดังกล่าวได้ขับรถยนต์เข้าถนนพุทธมณฑลสาย 3 และได้ชนท้ายรถกระบะ
จากนั้นแอร์แบคเกิดระเบิดอย่างรุนแรง ทางโรงพยาบาลเอ็กซเรย์พบวัสดุฝังในหน้าอก
ขนาดเท่าเหรียญหรือฝาน้ำ เมื่อผ่าตัดเสร็จ
แพทย์พบว่าเป็นอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนของแอร์แบค โดยบาดแผลมีร่องรอยจากการระเบิดของแอร์แบค
2 จุด บริเวณหน้าอกและช่วงท้อง และแขน 2 ข้าง ช่วงคอมีบาดแผลคล้ายไฟไหม้
ผศ.ดร. รุ่ง กิตติพิชัย หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล
คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ถุงลมนิรภัย
เป็นอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย ทำหน้าที่เสมือนเป็นหมอนรองลดแรงกระแทกจากการชน
ช่วยลดการบาดเจ็บ โดยปกติแล้วระบบการทำงานของถุงลมนิรภัยนั้น
เมื่อรถยนต์เกิดการชนหรือกระแทกที่รุนแรงเกินกว่ากำหนด
จะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับแรงกระแทก
กล่องควบคุมการทำงานของแอร์แบคจะสั่งจุดระเบิดให้สารภายในถุงลมนิรภัยระเบิดออกด้วยอุณหภูมิและแรงดันสูงเพื่อทำให้ถุงลมนิรภัยพองตัวอย่างรวดเร็ว
ซึ่งใช้เวลาเพียง 0.04 วินาที ด้วยความเร็วในการพองตัวถึง 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
หลังจากนั้นถุงลมนิรภัยจะค่อยๆ ยุบตัวลง
เพื่อป้องกันไม่ให้ถุงลมอัดกับผู้ขับนานเกินไปหรือบดบังการมองเห็น
จนทำให้เกิดอันตรายอื่นๆ ตามมา
ทั้งนี้ถุงลมนิรภัยนั้นควรต้องทำหน้าที่ในภาวะจำเป็นเท่านั้น เมื่อเกิดอุบัติเหตุ
ถุงลมนิรภัยควรจะทำงานขณะรถชนวิ่งในระดับความเร็วตั้งแต่ 40 กม/ชม.ขึ้นไป
ในอดีตสารในถุงลมนิรภัยที่แนะนำและนิยมใช้ คือ
“เตตราโซล” (Tetrazole)
แต่ด้วยสารชนิดนี้มีราคาแพง ถุงลมนิรภัยยี่ห้อ ทาคาตะ
ซึ่งเป็นยี่ห้อที่ใช้แพร่หลายอันดับต้นๆ ในรถยนต์นับร้อยล้านคัน
ได้ใช้สารราคาถูกเพื่อลดต้นทุน คือ “แอมโมเนียมไนเตรท” (Ammonium Nitrate) ที่เป็นสารประกอบทำปุ๋ยและระเบิดนั้น มีข้อเสียคือ
สารนี้สามารถดูดซับความชื้นได้ดี ซึ่งหากการผลิตไม่ได้มาตรฐาน
มีความชื้นอยู่ในถุงลมนิรภัยจะทำให้การระเบิดรุนแรงกว่าปกติเมื่อมันทำงานหรือมีการจุดระเบิด
ถึงอาจทำให้ชิ้นส่วนภายในถุงลมนิรภัยแตกออกและพุ่งเข้าใส่คนขับขี่ในระยะกระชั้นชิด
จึงทำให้เกิดการบาดเจ็บสาหัสและตายเป็นจำนวนมากอยู่ทั่วโลก
แม้ว่าในปัจจุบันนี้บริษัทผู้ผลิตถุงลมนิรภัยที่มีปัญหาจะล้มละลายไปแล้ว
แต่ยังมีถุงลมนิรภัยรุ่นนี้ติดตั้งอยู่ในรถยนต์ทั่วโลก
เฉพาะในประเทศไทยรถยนต์ที่ติดตั้งถุงลมทาคาตะนี้ได้แก้ไขเปลี่ยนแล้วกว่า
1 ล้านคัน แต่ยังมีอีกกว่า 6 แสนคันที่ยังไม่เปลี่ยน
เปรียบเสมือนมีระเบิดอยู่หน้ารถของตัวเอง ที่น่ากลัวคือ ไม่ต้องชนหนัก
เพียงชนแรงพอที่จะให้ถุงลมนิรภัยทำงาน
ก็จะสร้างแรงอัดที่รุนแรงจนเศษโลหะแตกออกและพุ่งใส่ร่างกายได้
นอกจากนี้ปัญหาความเสี่ยงจะมากขึ้นหากเป็นรถยนต์ที่ใช้งานมานาน
และอยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนชื้น
เจ้าของรถ 8
ยี่ห้อและรุ่นรถที่ผลิตในปี 1998 -2018 ควรทำอย่างไร
- ตรวจสอบเบื้องต้น โดยเข้าเว็บไซต์
www.checkairbag.com ใส่ยี่ห้อรถยนต์และกรอกหมายเลขตัวถัง
(ดูได้จากสมุดจดทะเบียนรถยนต์หรือที่ตัวถังรถยนต์)
สำหรับคนที่ไม่สะดวกจะเช็คด้วยตนเอง
สามารถโทรขอความช่วยเหลือที่ศูนย์รถยนต์ของท่านให้ช่วยเช็คข้อมูลก็ได้ - นำรถไปที่ศูนย์รถยนต์ของท่าน
เพื่อเปลี่ยนถุงลมนิรภัยได้ฟรี โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอื่นใด - หากถูกปฏิเสธไม่รับเปลี่ยนถุงลมนิรภัย หรือถูกเรียกเก็บค่าบริการ
สามารถร้องเรียนได้ที่สำนักคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) โทรสายด่วน 1166
และร้องเรียนออนไลน์ที่เว็บไซต์ https://complaint.ocpb.go.th หรือสภาองค์กรของผู้บริโภค
www.tcc.or.th
ข้อแนะนำสำหรับผู้ประกอบการรถยนต์
- บริษัทรถยนต์ควรจัดให้มีการประชาสัมพันธ์แก่ผู้ใช้รถยนต์ให้ทั่วถึง
เนื่องจากเป็นความรับผิดชอบที่บริษัทเหล่านี้ควรดูแล ซึ่งประชาชนอีกกว่า 6
แสนคันที่ยังไม่ได้รับรู้อันตรายหรือมาเปลี่ยนแอร์แบค - บริษัทควรขอความร่วมมือไปกับกรมการขนส่งทางบก
เพื่อช่วยเตือนเจ้าของรถที่ติดตั้งถุงลมนิรภัยไม่ได้มาตรฐานข้างต้น
ก่อนต่อทะเบียนรถในแต่ละปี - เต๊นท์ขายรถยนต์มือสอง ควรนำรถยนต์ทั้ง 8 ยี่ห้อในรุ่น-ปีที่มีปัญหา
เข้ารับการเปลี่ยนถุงลมนิรภัย ก่อนที่จะขาย - บริษัทบริการรถเช่าในแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศ ควรนำรถเช่าทั้ง 8
ยี่ห้อในรุ่น-ปีที่มีปัญหา เข้ารับการเปลี่ยนถุงลมนิรภัย
เพื่อป้องกันอันตรายแก่ชีวิตนักท่องเที่ยว
ส่วนข้อแนะนำสำหรับผู้ขับรถทั่วไป
รถยนต์ที่มีสัญลักษณ์ SRS ในรูปแบบต่างๆ
ขึ้นที่หน้าปัดรถยนต์โดยจะสว่างขึ้นเมื่อสตาร์ทรถยนต์ ประมาณ 5 วินาที
สัญลักษณ์นี้ก็จะดับลง นั่นหมายความว่า ถุงลมนิรภัยจะทำงานร่วมกับเข็มขัดนิรภัย
ดังนั้นควรคาดเข็มขัดนิรภัยในระหว่างขับขี่เสมอ
เพื่อให้ถุงลมทำงานเมื่อเกิดอุบัติเหตุ แต่ถ้าสัญลักษณ์ SRS สว่างขึ้นหรือกระพริบตลอดเวลาในระหว่างขับขี่
แสดงว่าถุงลมนิรภัยทำงานผิดปกติ ควรดับเครื่องยนต์และสตาร์ทใหม่อีกครั้ง
ถ้ายังคงมีอาการไฟสัญลักษณ์ดังกล่าวติดค้างอยู่
ควรรีบนำรถยนต์เข้าตรวจเช็คเพื่อความปลอดภัยทันที
|