กลางเดือนมกรา ตองกาแตกตื่น ภูเขาไฟใต้มหาสมุทรแปซิฟิกระเบิด พ่นเถ้าถ่านปกคลุมไปทั่ว
เห็นได้จากดาวเทียม รุนแรงสุดในรอบ 30 ปี จากที่เคยเกิดมาแล้วที่ฟิลิปปินส์ ด้าน รศ.ดร.
ธีรพันธ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.มหิดล ชี้
คลื่นสึนามิ ยังไม่แรงเท่ากับแผ่นดินไหวใต้ทะเล แต่อนาคตต้องทำฐานข้อมูลภูเขาไฟใต้ทะเล
เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น
ชาวโลกต้องตื่นตระหนกกับภัยพิบัติธรรมชาติที่น่าสะพรึงกลัวอีกครั้ง
เมื่อวันที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมา กับการปะทุภูเขาไฟใต้ทะเลบนเกาะที่ชื่อ ‘ฮุงกา
ตองกา–ฮุงกา ฮาอาปาย’ ทำให้ประเทศตองกาที่อยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิกถูกปกคลุมไปด้วยเถ้าถ่านภูเขาไฟ
และได้รับความเสียหายอย่างหนัก การระเบิดนี้ยังก่อให้เกิดคลื่นสึนามิ ความสูง
1.5-2 เมตร ซัดเข้าชายฝั่งตองกาและอีกหลายประเทศต่อมา
เสียงกึกก้องจากภูเขาไฟใต้ทะเลระเบิด
ดังไกลไปถึงประเทศนิวซีแลนด์ที่อยู่ห่างออกไปกว่า 2,383 กิโลเมตร
ในเวลาต่อมาไม่นาน
คลื่นมวลอากาศนี้จึงเดินทางมาถึงน่านฟ้าประเทศไทยที่อยู่ห่างกว่า 1 หมื่นกิโลเมตร
ซึ่งสามารถตรวจวัดได้โดยสถานีตรวจวัดสภาพท้องฟ้าของ NARIT หรือสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ
ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซิดนีย์ มอร์นิง เฮรัลด์
เปรียบว่าการประทุดังกล่าวมีความรุนแรงเท่ากับระเบิดฮิโรชิม่า 1,000 ลูก
ทั้งนี้ดาวเทียมสำรวจ GOES West ได้จับภาพวินาทีระเบิดของภูเขาไฟไว้ได้
รศ.ดร.
ธีรพันธ์ อรธรรมรัตน์ ผู้เชี่ยวชาญแผ่นดินไหว คณะวิศวกรรมศาสตร์
ภาควิชาวิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า
พื้นที่บริเวณเกิดเหตุภูเขาไฟปะทุใต้ทะเล ประเทศตองกาในมหาสมุทรแปซิฟิก
แถบนี้เป็นแนวบริเวณที่เรียกว่า วงแหวนแห่งไฟ (Ring
of Fire) ยาวกว่า 40,000 กิโลเมตร ซึ่งเป็นแนวมุดตัวของแผ่นเปลือกโลกกันอยู่
ส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหวและมีภูเขาไฟใต้น้ำภายในวงแหวนไฟ ที่ยังคุกกรุ่นอยู่ลอดเวลา
จนทำให้เกิดเป็นเกาะต่างๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิกขึ้นมา
โดยเหตุการณ์ภูเขาไฟตองกาปะทุใต้ทะเลนี้ นับว่ารุนแรงสุดในรอบ 30 ปี
นับจากการระเบิดของภูเขาไฟพินาตูโบเมื่อปี 2534 ทางด้านตะวันตกของเกาะลูซอน
ประเทศฟิลิปปินส์ โดยเป็นการปะทุขึ้นอย่างรุนแรงหลังจากที่เงียบสงบมานานกว่า 600
ปี ซึ่งมีผู้เสียชีวิตกว่า 800 คน และอีก 100,000 คนกลายเป็นคนไร้ที่อยู่อาศัย
สำหรับภูเขาไฟตองกาปะทุ
ส่งผลให้ภูเขาไฟพ่นควัน เถ้าถ่าน
แก๊สและไอน้ำสูงจนสามารถเห็นได้จากภาพถ่ายดาวเทียม และเกิดคลื่นยักษ์ที่พัดผ่านแนวชายฝั่งในเมืองนูกูอาโลฟาเมืองหลวง
ทำให้น้ำท่วมถนนเลียบชายฝั่ง บ้านเรือนเสียหาย
และเกิดสึนามิเคลื่อนที่เข้าหาฝั่งของเกาะ Tongatapu ซึ่งเป็นเกาะใหญ่ที่สุดของประเทศตองกา ซึ่งศูนย์เตือนภัยสึนามิ
ออกคำเตือนให้ระวังเกิดสึนามิซัดชายฝั่งหลายประเทศริมฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก
โดยเมื่อเวลา 11.27 น. (15 ม.ค) ตามเวลาประเทศไทย
ได้เกิดคลื่นสึนามิเคลื่อนตัวเข้าหาชายฝั่งหลายๆ ประเทศรอบมหาสมุทรแปซิฟิก
โดยมีความสูงคลื่นประมาณ 0.1- 1.2 เมตร เช่น ที่ฟิลิปปินส์ 0.20 เมตร ญี่ปุ่น
นิวซีแลนด์ และชิลี 1.0 -1.2 เมตร แต่ไม่เกิดสึนามิที่ทุ่นที่ใกล้ชายฝั่งทะเลอันดามัน
ประเทศไทย จึงขอให้ประชาชนและนักท่องเที่ยว 6 จังหวัด ได้แก่ ระนอง ภูเก็ต พังงา
กระบี่ ตรัง และสตูล ไม่ต้องกังวล
ส่วนจังหวัดชายฝั่งทะเลอ่าวไทยก็ไม่มีผลกระทบเช่นกัน
จากจุดเกิดเหตุ
บริเวณที่คาดว่าน่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ ประเทศตองกา ซึ่งอยู่ห่างประมาณ
60 กิโลเมตร อาจจะถูกปกคลุมด้วยเถ้าลาวา
ทำให้การสื่อสารกับโลกภายนอกเป็นไปด้วยความยากลำบาก
ส่งผลให้การช่วยเหลือจากต่างชาติเป็นไปอย่างล่าช้า
แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้แล้ว หลายประเทศเริ่มมีการยกเลิกการยกระดับการเตือนที่จะเกิดสึนามิออกแล้ว
และอยู่ระหว่างการเฝ้าระวัง แต่ยังไม่สามารถทราบได้แน่ชัดว่า
จะเกิดเหตุการณ์อย่างไรต่อไป
คาดว่าการประทุของภูเขาไฟคงมีต่อเนื่องไปอีกสักช่วงเวลาหนึ่ง
แต่คงไม่สามารถบอกได้แน่ชัดว่าจะรุนแรงกว่าเดิมหรือไม่
ทั้งนี้
สึนามิจากภูเขาไฟที่ปะทุใต้น้ำ หากเทียบกับสึนามิที่เกิดจากแผ่นดินไหว
มีความแตกต่างกัน
เนื่องจากหากเป็นแผ่นดินไหวเครื่องมือตรวจวัดแรงสั่นสะเทือนจะสามารถประเมินขนาดแผ่นดินไหวและออกคำเตือนสึนามิได้ดีกว่า
ซึ่งจะทราบได้ว่าเป็นแผ่นดินไหวขนาดเท่าไหร่ และมีโอกาสในการเกิดสึนามิได้หรือไม่
และหากเกิดภัยพิบัติสึนามิขึ้น
จะสามารถระบุแนวชายฝั่งที่น่าจะถูกคลื่นสึนามิซัดเข้าชายฝั่งได้ดีกว่า
และประกาศเตือนภัยได้ทัน แต่สำหรับภูเขาไฟที่ปะทุใต้น้ำแล้วก่อให้เกิดสึนามินั้น
มีโอกาสเกิดขึ้นน้อย ไม่ได้เกิดบ่อย ทำให้การประเมินเตือนภัยสึนามิทำได้ยากและล่าช้ากว่า
เพราะยังขาดข้อมูลแบบจำลองในการคาดการณ์ผลกระทบ
ส่วนลักษณะของลาวาใต้ทะเล
จะเหมือนกันกับภูเขาไฟระเบิดบนบก และจะมีแผ่นดินไหวขนาดเล็กร่วมด้วย
และการไหลออกมาใหม่ของลาวาและการประทุที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงน่าจะส่งผลให้ภูมิทัศน์โดยรอบเปลี่ยนไป
ล่าสุดมีรายงานจากภาพถ่ายดาวเทียมคาดว่าบางส่วนของเกาะ ‘ฮุงกา ตองกา–ฮุงกา
ฮาอาปาย’ ที่ตั้งภูเขาไฟนี้หายไป
รวมถึงส่งรวมถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมบริเวณใกล้เคียงด้วย เช่น
ภูเขาไฟมีการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์และไนโตรเจนออกไซด์ เมื่อทำปฏิกิริยากับน้ำและออกซิเจน
จะเกิดเป็นฝนกรด การกัดเซาะชายฝั่ง
แนวปะการังที่ถูกทำลาย เป็นต้น
รศ.ดร.
ธีรพันธ์ กล่าวสรุปว่า หากเปรียบเทียบกับสึนามิที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรอันดามันในปี
2547 ที่ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อประเทศไทยโดยครั้งนั้น มีสาเหตุจากแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ใต้ทะเล
หากเกิดขึ้นในปัจจุบัน การส่งสัญญาณเตือนภัยจะสามารถทำได้ดีขึ้นกว่าเดิมแน่นอน
แต่สำหรับสึนามิที่เกิดจากภูเขาไฟใต้ทะเลระเบิดครั้งนี้
ทำให้การออกคำเตือนได้ยากกว่า
ส่วนความสูงของคลื่นสึนามิจากภูเขาไฟใต้ทะเลระเบิดตองกามีระดับต่ำว่าคลื่นสึนามิจากแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ใต้ทะเล
ในอนาคตนานาประเทศควรจะศึกษาและทำฐานข้อมูลภูเขาไฟใต้ทะเลมากยิ่งขึ้น เพื่อความปลอดภัยของประชาชน
ลดความเสียหายทางสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ
|