บมจ.เบทาโกร กำหนด 4 กลยุทธ์ พายอดขายโตให้ถึง
10% ไม่ว่าจะเป็นการขยายโรงงานทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งปรับปรุงไลน์ผลิตเดิม
พัฒนาสินค้าสำเร็จรูปและเพิ่มช่องทางการขายเพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ทำสินค้าระดับพรีเมียมใน
3 กลุ่ม และนำธุรกิจบุกต่างแดนให้มากขึ้น
นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) (BTG) เปิดเผยว่า
ภาพรวมการบริโภคอาหารปี 2566 มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง หลังโควิด-19 เริ่มคลี่คลายและมีความต้องการเพิ่มขึ้นจากการเปิดประเทศ
ส่งผลให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวและทำให้อัตราการบริโภคขยายตัว
แม้ในระยะสั้นสถานการณ์ราคาสุกรมีชีวิต
จะมีความผันผวนได้บ้างเนื่องจากในช่วงปลายปีที่ผ่านมาถึงต้นปีนี้มีการลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรตัดแต่ง
และมีการเพิ่มน้ำหนักของสุกรขุน ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างราคาสุกรในประเทศไทย
อย่างไรก็ตามปัจจุบันทิศทางราคาสุกรเริ่มปรับตัวดีขึ้น
และจะกลับมามีสเถียรภาพหากมีการบริหารซัพพลายที่ดี
ขณะที่แนวโน้มราคาและการส่งออกไก่เนื้อ
คาดการณ์ว่าจะกลับมาขยายตัวดีขึ้นในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ปีนี้ เมื่อเทียบกับไตรมาส
1/2566 ที่ชะลอตัว จากปัจจัยดังกล่าว เบทาโกรจึงได้วางกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่แบรนด์ธุรกิจอาหารชั้นนำระดับสากล
เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1.มุ่งขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง
เพื่อสร้างรากฐานการผลิตผลิตภัณฑ์ตลอดห่วงโซ่อุปทานให้มีความแข็งแกร่ง
รองรับกับการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ
โดยจะลงทุนขยายกำลังผลิตในโรงงานแห่งใหม่
และการปรับปรุงโรงงานที่มีอยู่เดิมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นรองรับกับโอกาสการขายที่เพิ่มมากขึ้น
2.สร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์และช่องทางจำหน่าย
เบทาโกรมุ่งให้ความสำคัญการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มธุรกิจอาหารและโปรตีนที่มีมูลค่าเพิ่ม
ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ไก่และสุกร ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะสร้างการเติบโตในปีนี้
อีกทั้งยังมุ่งขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมปรุงและพร้อมรับประทาน
เพื่อรองรับกับวิถีชีวิตของผู้บริโภคที่มีความเร่งรีบ
จึงทำให้ตลาดมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง
โดยวางเป้าหมายกลุ่มอาหารสำเร็จรูปจะมีสัดส่วนรายได้เกือบ 10% ในปี 2568 จากปี
2565 อยู่ที่ 5% พร้อมทั้งเดินหน้าขยายช่องทางจัดจำหน่ายที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์
สู่ช่องทางร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ช่องทางผู้ให้บริการด้านอาหาร
ช่องทางจัดจำหน่ายของเบทาโกรช็อป และร้านเบทาโกร เดลี่
เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างกว้างขวางและสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
3.มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม เบทาโกรจะนำความแข็งแกร่งของศูนย์วิจัยและพัฒนา
และศูนย์นวัตกรรมที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละกลุ่มธุรกิจมุ่งวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม
3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจอาหารและโปรตีน โดยศูนย์นวัตกรรมอาหาร (Food Innovation Center – FIC) ซึ่งมีแบรนด์ S-Pure เป็นผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ซุปเปอร์พรีเมี่ยมคุณภาพสูงจากธรรมชาติ
100% มีความปลอดภัยสูงสุด จากการคัดเลือกสายพันธุ์ที่ดี
การเลี้ยงโดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ สารเร่งการเจริญเติบโต และสารเคมีใดๆ
ตลอดการเลี้ยงดู ภายใต้การควบคุมการผลิตทุกขั้นตอนด้วยเทคโนโลยีทันสมัย โดย S-Pure
เป็นแบรนด์แรกและหนึ่งเดียว
ที่ได้รับการรับรองการเลี้ยงแบบไม่ใช้ยาปฎิชีวนะ (Raised Without
Antibiotics – RWA) จาก NSF รวม 3
ผลิตภัณฑ์ทั้งหมู ไก่ ไข่ ตอบโจทย์กระแสผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและโภชนาการที่ดี
มุ่งขยายฐานผู้บริโภคในระดับพรีเมียม 2.กลุ่มธุรกิจสัตว์เลี้ยง
โดยศูนย์นวัตกรรมสัตว์เลี้ยง (Pet Innovation Center-PIC) ที่เน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์พรีเมียมตอบโจทย์
Health & Wellness และ 3.กลุ่มธุรกิจเกษตร
โดยศูนย์นวัตกรรมการเกษตร (Agro Innovation Center – AIC) ที่จะพัฒนาอาหารสุกร
อาหารโค และอาหารไก่ไข่ที่เป็นเกรดพรีเมียมรับกับความต้องการในผลิตภัณฑ์พรีเมียมที่เพิ่มขึ้น
4.การขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ
ในกลุ่มธุรกิจต่างประเทศได้วางแผนลงทุนในประเทศกัมพูชา ลาว และ เมียนมา
โดยสร้างโรงงานแห่งใหม่ และปรับปรุงโรงงานเดิมให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
รวมทั้งสนใจการลงทุนร่วมกับผู้ประกอบการประเทศเวียดนาม
นอกจากนี้ยังเดินหน้าขยายตลาดส่งออกใหม่ในประเทศอื่นๆ จากปีที่ผ่านมามีมากกว่า 20
ประเทศทั่วโลก โดยสนใจขยายการส่งออกสู่ตลาดยุโรป
ตลอดจนขยายผลิตภัณฑ์ใหม่และช่องทางจัดหน่ายที่สร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น สิงคโปร์
ฮ่องกง และส่งออกกลุ่มผลิตภัณฑ์ปรุงสุก อาทิ ไก่ปรุงสุก บุกตลาดอาเซียน ญี่ปุ่น
และยุโรป รวมทั้งมุ่งสร้างแบรนด์ “S-Pure” และ “BETAGRO” เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับกลุ่มผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง
“จากการวางกลยุทธ์แห่งปี 2566
เพื่อขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ทั้งการลงทุนสร้างรากฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียน
ตลอดจนการสร้างสรรค์อาหารและช่องทางจำหน่ายที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์
การขยายพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม
รวมทั้งความสามารถในการควบคุมต้นทุนราคาวัตถุดิบด้วยระบบฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ
และการมุ่งเน้นสินค้าในกลุ่มธุรกิจอาหารและโปรตีนที่ได้อัตรากำไรที่ดีกว่า
เพื่อลดผลกระทบของความผันผวนของราคาเนื้อสัตว์ จะผลักดันให้ยอดขายปี 2566
มีอัตราการเติบโต 5-10% ตามเป้าหมาย
และตอกย้ำเป้าหมายสู่การเป็นแบรนด์ธุรกิจอาหารชั้นนำในระดับสากล” นายวสิษฐ กล่าว
|