บมจ.เจ้าสัว ฟู้ดส์ อินดัสทรี กำหนดอีก 2 ปี จะพิชิตรายได้ที่ 2,200 ล้านบาท โดยมี 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ สร้างการรับรู้แบรนด์
สื่อสารผ่านแคมเปญ พัฒนาสินค้าใหม่และขนมเพื่อสุขภาพ เสริมความแกร่งด้านการตลาดเดิม
ขยายลูกค้าในกลุ่มผู้จัดจำหน่ายและผู้ค้าปลีก และมองหาประเทศใหม่ๆ ผ่านการออกงาน ปัจจุบันตลาดข้าวตังและสินค้าแปรรูปจากเนื้อสัตว์
สินค้าเจ้าสัวมีส่วนแบ่งเป็นอันดับหนึ่งที่ 79% และ 62%
ตามลำดับ 
นางสาวณภัทร
โมรินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ้าสัว ฟู้ดส์ อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) (CHAO) เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางเป้าหมายรายได้เติบโตทะลุ 2,200 ล้านบาท ในปี 2570 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR)
12% ต่อปี ผ่าน 4
กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่สร้างการเติบโต ได้แก่ 1) ความเป็นเลิศด้านการตลาด
โดยตั้งเป้าสร้างการรับรู้แบรนด์ให้เป็นอันดับหนึ่งในใจผู้บริโภค
ผ่านการปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัยและน่าสนใจ ตอกย้ำเอกลักษณ์ของแบรนด์
สื่อสารกับผู้บริโภคผ่านแคมเปญการตลาด ผสมผสานสื่อทั้งออฟไลน์และออนไลน์อย่างลงตัว
รวมทั้งสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ “เจ้าสัว” ในตลาดทั้งในและต่างประเทศ
ตอกย้ำภาพลักษณ์ผู้นำขนมขบเคี้ยวคุณภาพของไทย
2) นวัตกรรมและความหลากหลาย (Product Innovation & Diversification) บริษัทฯ มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ไม่ต่ำกว่า 15-20 SKUs อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ อีกทั้งยังมีแผนขยายไปสู่ตลาดขนมเพื่อสุขภาพ เพื่อตอบโจทย์ผู้รักสุขภาพ นอกจากนี้ บริษัทฯ กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้าสู่หมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง
3)
เสริมความแข็งแกร่งในการจัดจำหน่าย (Distribution
Channel Reinforcement) บริษัทฯ
ให้ความสำคัญกับการพัฒนาช่องทางค้าปลีกทั้งแบบดั้งเดิม และค้าปลีกสมัยใหม่
ควบคู่ไปกับช่องทางออนไลน์ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
รวมถึงการขยายไปยังช่องทางจัดจำหน่ายใหม่ที่มีศักยภาพเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ
เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุม 
สำหรับในตลาดต่างประเทศ
กลุ่มประเทศเดิมที่บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญในตลาด
และมีกลุ่มผลิตภัณฑ์เดิมที่เคยได้รับผลตอบรับดีจากผู้บริโภคอยู่แล้ว บริษัทฯ
จะเดินหน้านำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้กลุ่มลูกค้าเดิม
ควบคู่กับการขยายไปสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ โดยแบ่งเป็น 3.1) สหรัฐอเมริกาและแคนาดา
บริษัทฯ ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนขึ้นใหม่
เพื่อดูแลการขายในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาโดยเฉพาะ
กลยุทธ์หลักคือนำเสนอผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของตนเองเข้าสู่ซูเปอร์มาร์เก็ตเอเชีย
ก่อนที่จะขยายไปยังช่องทางอื่นๆ พร้อมทั้งเพิ่มการออกงานแสดงสินค้าต่างๆ เพื่อสร้างการรับรู้และขยายฐานลูกค้า
3.2) ประเทศจีน บริษัทฯ มุ่งเน้นการเพิ่มจำนวนลูกค้า ทั้งในกลุ่มผู้จัดจำหน่าย (Distributor) และผู้ค้าปลีก (Retailer) ควบคู่ไปกับการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง
เพื่อสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์และกระตุ้นยอดขาย และ 3.3) ประเทศในภูมิภาคเอเชีย
สำหรับกลุ่มประเทศในทวีปเอเชียที่บริษัทฯ ได้เริ่มขยายตลาดเพิ่มเติมในปี 2567
ที่ผ่านมา กลยุทธ์ในปี 2568 จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง (Build
Fundamental) และการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
เพื่อให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้าง
4)
การขยายตลาดสู่ระดับสากล (International Market Expansion) โดยในปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายในการขยายสู่กลุ่มประเทศใหม่เพิ่มเติม
5-10 ประเทศ
โดยมุ่งเน้นกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพเติบโตในภูมิภาคเอเชียและยุโรปผ่านการออกงานแสดงสินค้า
พร้อมแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม
ยังคงให้ความสำคัญกับการวางแผนในการเข้าสู่ตลาดใหม่อย่างมีกลยุทธ์ และรอบคอบ
เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ด้วยผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น
และตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าอย่างครอบคลุม
นอกจากนี้
ด้วยแนวคิด “Better-for-You” Snack ซึ่งกำลังเติบโตทั่วโลก
บริษัทฯ วางแผนสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก
โดยการเสริมความแข็งแกร่งและสร้างรากฐานในประเทศใหม่ๆ
พร้อมขยายไปสู่ภูมิภาคที่มีศักยภาพสูง รวมถึงตลาดในกลุ่มประเทศฮาลาล
ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญในการเติบโต นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
ผ่านการจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ การปรับปรุงกระบวนการอัตโนมัติ
การเพิ่มแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา
เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างอัตรากำไรที่ดีอย่างต่อเนื่อง
ด้านนายสิริณัฏฐ์
ชญาน์นันท์ กรรมการผู้จัดการ บมจ. เจ้าสัว ฟู้ดส์ อินดัสทรี กล่าวว่า บริษัทฯ
ประเมินภาพรวมตลาดขนมขบเคี้ยวไทยระหว่างปี 2567-2570 คาดว่าจะเติบโตที่ CAGR 6.5% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มขยายตัว
โดยที่การใช้จ่ายภาครัฐยังคงเป็นแรงส่งสำคัญของเศรษฐกิจในระยะต่อไป
สำหรับภาคเอกชนมีแรงส่งต่อเนื่องจากภาคธุรกิจท่องเที่ยว
รวมถึงอุปสงค์ในประเทศที่มีแรงสนับสนุนหลักจากการฟื้นตัวของรายได้
อย่างไรก็ตาม
ผลิตภัณฑ์ที่เจ้าสัวดำเนินธุรกิจอยู่ยังคงมีอัตราการเติบโตที่ดี โดยระหว่างปี 2567-2570 คาดว่าจะยังมีอัตราการเติบโตเป็นเลขสองหลัก
สำหรับตลาดข้าวตังคาดการณ์ว่าจะเติบโตที่ CAGR 14.4% ซึ่งเจ้าสัวมีส่วนแบ่งทางการตลาดอันดับหนึ่งที่
79% คาดว่าในปี 2568 จะมีมูลค่าตลาดรวมที่
1,635 ล้านบาท
ขณะที่ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อสัตว์คาดว่าจะเติบโตที่ CAGR 13.9% โดยเจ้าสัวครองส่วนแบ่งทางการตลาดอันดับหนึ่งที่ 62% และคาดว่าในปี 2568 จะมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 732
ล้านบาท สะท้อนความแข็งแกร่งว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์ของเจ้าสัวมีความแตกต่างและโดดเด่น
มีศักยภาพเติบโตได้ดีกว่าตลาดขนมขบเคี้ยวโดยรวม
ทั้งนี้
บริษัทฯ เล็งเห็นศักยภาพการเติบโตของขนมขบเคี้ยวกลุ่ม Better-for-you Snack ซึ่งกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่องตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
จึงได้เตรียมความพร้อมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ครอบคลุม
รวมทั้งสร้างความแตกต่างให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ
เพื่อเป็นขนมขบเคี้ยวทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับผู้บริโภค ควบคู่กับการรักษาความเป็นผู้นำในตลาดขนมขบเคี้ยวไทยรูปแบบใหม่
หรือ Modern Thai Snacks ซึ่งเจ้าสัวเป็นผู้นำตลาดมาอย่างต่อเนื่อง
บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
โดยมีเป้าหมายในการรักษาการเป็นผู้นำในตลาดขนมขบเคี้ยวไทยรูปแบบใหม่ (Modern
Thai Snack) และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อสัตว์
ควบคู่กับการเดินหน้ายุทธศาสตร์สำคัญในการนำพาแบรนด์ขนมขบเคี้ยวไทยไปสู่ตลาดโลก
ภายใต้แนวคิด “Bring local to global” เพื่อมุ่งสู่การเป็นแบรนด์ขนมขบเคี้ยวไทยชั้นนำระดับโลก
|