ETDA พามาหาสาเหตุ ที่ส่งผลให้คน Burnout
syndrome ในงานที่ทำ ซึ่งข้อมูลจาก สสส. บวกกับของ ม.มหิดล
และกรมสุขภาพจิต พบว่า รายได้ไม่พอกับงานที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งเวลามีจำกัด
ความเหนื่อยล้า และการเปรียบเทียบตนเองกับคนในโซเชี่ยล ซึ่งทางแก้ไขคือ
ตั้งเป้าวางแผน จัดลำดับความสำคัญของงาน รวมถึงลดการดูข่าวสารจากโลกออนไลน์
หากคุณเริ่มมีอาการเหล่านี้
อาจเป็นไปได้ว่าคุณกำลังอยู่ในภาวะ ‘Burnout syndrome’ หรือ
ภาวะหมดไฟจากการทำงาน
อาการที่คนทำงานทั่วทุกมุมโลกต่างกำลังเผชิญและดูเหมือนตัวเลขจะเพิ่มมากขึ้น
โดยจากรายงานแนวโน้มความสามารถระดับโลกปี 2024 (2024 Global Talent Trends)
โดย Mercer บริษัทที่ปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคลระดับโลกพบว่า
มากกว่า 8 ใน 10 ของพนักงานทั่วโลกมีความเสี่ยงที่จะหมดไฟ
โดย 43% ระบุว่าเกิดจากความตึงเครียดทางการเงิน อีก 40% เกิดจากความเหนื่อยล้า และ 37%
ระบุว่าต้องเผชิญกับภาระงานที่มากเกินไป
มาที่ประเทศไทย จากข้อมูลของสำนักงานกองทุนสนับสนุนสร้างเสริมสุขภาพ
(สสส.) ปี 2566 พบว่า คนวัยทำงานใช้เวลาถึง 1 ใน 3 ของแต่ละวันไปกับการทำงาน และจากข้อมูลโดยมหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า
คนกรุงเทพฯ 7 ใน 10
มีอาการหมดไฟในการทำงาน และจากข้อมูลของสายด่วน 1323
ของกรมสุขภาพจิต ปี 2566 พบว่า
วัยแรงงานขอรับบริการเรื่องความเครียด กังวล ไม่มีความสุขในการทำงานมากถึง 5,989 สาย จากทั้งหมด 8,009 สายและมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น
ด้วยตัวเลขคนทำงานที่สะท้อนถึงภาวะของการหมดไฟเพิ่มมากขึ้นในยุคดิจิทัลนี้
คำถามสำคัญที่ตามมาคือ อะไรคือสาเหตุของอาการเหล่านี้
และทางออกจะต้องเริ่มจากตรงไหน สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA)
จะพาไปหาคำตอบพร้อมๆ กัน
4
สาเหตุใหญ่…ทำคนทำงานหมดไฟในยุคดิจิทัล
จากการชวนผู้เชี่ยวชาญ คนทำงาน
และอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังมาร่วมหารือปัญหาในเรื่องนี้ ผ่านหลายๆ เวทีของ ETDA
ได้เห็นประเด็นของสาเหตุในเรื่องนี้ร่วมกัน จนสามารถสรุปได้ว่า 4 สาเหตุใหญ่ๆ ที่ทำให้คนทำงานหมดไฟไวมากขึ้นในยุคนี้ สาเหตุแรก คือ รายได้ที่ไม่สอดรับกับภาระงานที่ได้รับ
ที่ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดสำหรับคนทำงาน
เพราะในปัจจุบันสัดส่วนภาระงานต่อคนทำงานหนึ่งคนมีมากขึ้น
แต่ในขณะเดียวกันรายได้ที่ได้รับกลับไม่ได้มากเพียงพอ
เมื่อเทียบกับปริมาณงานและค่าครองชีพในปัจจุบัน
จึงทำให้คนทำงานเริ่มตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าสำหรับรายได้ที่ได้รับกับการลงแรงทำงานที่เสียไป
จนทำให้เกิดความเฉยชาต่องานมากขึ้น
สาเหตุถัดมาก็คือ การทำงานภายใต้กรอบเวลาที่จำกัด
ส่งผลให้เกิดความกดดันและความเครียดมากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุต่อเนื่องมาจากภาระงานต่อคนที่มีมากขึ้น
ทำให้คนทำงานต้องบริหารจัดการงานให้เสร็จได้ทันตามกำหนดเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด
จนเกิดความเครียด กดดัน และกระทบต่อความคิดสร้างสรรค์ในการทำงาน
ไม่สามารถจัดการงานให้เสร็จตามกรอบเวลาที่กำหนด ขณะที่งานใหม่ก็เข้ามาเพิ่มเรื่อยๆ
จนทำให้ภาวะความเครียดสะสมมากขึ้นตามมา
สาเหตุที่ 3 คือ
สภาวะความเหนื่อยล้าทางดิจิทัล (Digital Fatigue) ที่เกิดจากการทำงาน
ติดต่อสื่อสาร เปิดรับข้อมูลข่าวสารต่างๆ รวมถึงประชุมทางออนไลน์
ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลติดต่อกันเป็นเวลายาวนานมากๆ โดยไม่เว้นแม้แต่ตอนพัก หรือช่วงที่ใช้ชีวิตส่วนตัว
จนทำให้เกิดภาวะความเหนื่อยล้าทางร่างกาย
ลุกลามไปถึงทางจิตใจที่ไม่สามารถแยกชีวิตส่วนตัวกับชีวิตการทำงานออกจากกันได้
จนทำให้เกิดความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว จนนำมาสู่ภาวะหมดไฟในที่สุด
สาเหตุสุดท้ายคือ การเปรียบเทียบชีวิตตนเองกับผู้อื่นที่อยู่บนโลกโซเชียล
เพราะการมองเห็นชีวิตของคนอื่นที่อยู่ในวัยใกล้เคียงกันผ่านโลกโซเชียล
ทั้งคนใกล้ตัว หรือคนมีชื่อเสียงที่ประสบความสำเร็จ
อาจทำให้เกิดการเปรียบเทียบกับตัวเองจนทำให้รู้สึกเครียด
และกดดันว่าทำไมตัวเองถึงทำไม่ได้เท่าเขา มีไม่เท่าเขา
จนเกิดความรู้สึกไม่ภูมิใจในตนเอง
อีกทั้งคนในโซเชียลมีเดียก็ยังนิยมสร้างคอนเทนต์โชว์ความสำเร็จ
ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้เราเห็นความสำเร็จของชีวิตคนอื่นมากขึ้น
ตัวเองก็ยิ่งกดดันมากขึ้น จนบางครั้งเราอาจจะลืมนึกไปว่า ชีวิตอีกด้านหลังโลกโซเชียลของคนเหล่านั้น
ก็อาจจะเครียดไม่ต่างไปกับเราก็ได้
‘ตั้งเป้า - วางแผน –
ปรับพฤติกรรม’ สิ่งที่ต้องรีบทำก่อน “ไฟทำงาน” จะมอดดับ
เมื่อรู้ถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะหมดไฟในการทำงานแล้ว
วิธีที่จะตั้งรับก่อนภาวะนี้จะเกิด จึงเป็นสิ่งสำคัญเพราะหากสามารถบริหารจัดการตนเองกับการทำงานได้อย่างลงตัว
ก็อาจทำให้ชีวิตการทำงานมีความสุขมากขึ้นได้ จากการถอดบทเรียนในหลายๆ เวที ของ ETDA
พบว่า ข้อแนะนำสำคัญที่อยากจะให้คนทำงานลองนำไปปรับใช้ คือ
การตั้งเป้าหมายการทำงานให้ชัดเจน’ ไม่ได้หมายถึงเป้าหมายเพื่อให้งานเสร็จ
หรือเป้าหมายที่เป็นนามธรรมอย่างเช่น ความภูมิใจกับงาน
แต่เป็นการตั้งเป้าหมายที่มีขอบเขตที่ชัด และวัดผลได้จริง เช่น เป้าหมายเพื่อตำแหน่งงานที่สูงขึ้น
เป้าหมายเพื่อความมั่นคงทางการเงิน เงินเดือน โบนัส
โดยมีเป้าเป็นจำนวนเงินที่คาดหวังหรือที่รับได้หากไม่เป็นตามที่คาดหวัง หรือเป้าหมายอยู่ในระยะยาวเกินไป
อาจจะลองปรับเป็นเป้าหมายระยะสั้น เช่น
ทำงานเพื่อนำเงินไปใช้ในสิ่งที่ตัวเองคาดหวัง
การยึดโยงการทำงานกับเป้าหมายบางอย่างเช่นนี้
จะทำให้เราสนใจที่เป้าหมายของการทำงาน
มากกว่าความเครียดความกดดันที่เข้ามากระทบจิตใจระหว่างทำงาน
หลังจากตั้งเป้าหมายได้แล้ว
ลองมาสำรวจดูว่าด้วยภาระงานที่มีมาก สามารถวางแผนการทำงานได้อย่างดีเพียงพอแล้วหรือยัง
หลายครั้งที่คนทำงานเลือกที่จะทำงานไปก่อน
โดยไม่ได้จัดลำดับความสำคัญการทำงานให้ดี จนกระทบต่อคุณภาพของงาน
แต่ยังกระทบกับทีมด้วย เช่น งานที่กำลังเร่งทำอาจจะเป็นงานที่ทีมไม่ได้โฟกัส
จนกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงาน เพราะโดยทั่วไปแล้วงานในแต่ละวัน ถูกแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลักๆ คือ
งานสำคัญและเร่งด่วน งานสำคัญที่ไม่เร่งด่วน งานไม่สำคัญแต่งเร่งด่วน
และงานที่ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน ซึ่งมีวิธีการจัดการที่แตกต่างกันออกไป
และไม่จำเป็นต้องทำงานนั้นทั้งหมด เช่น งานที่ไม่สำคัญแต่เร่งด่วน
เป็นงานประเภทที่สามารถหาผู้ช่วยมาทำงานตรงนี้แทนได้ อาจจะหาคนทำงาน
หรือลองใช้เทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วยจัดการงานแทน อย่างการใช้เครื่องมือ AI
assistant ที่มาช่วยทำงานแทน และเอาเวลาไปโฟกัสกับงานที่สำคัญ
และเร่งด่วนซึ่งเป็นงานหลัก หากคนทำงานลองปรับใช้การวางแผนการทำงานเช่นนี้
อาจจะทำให้ความเครียดจากภาระงานที่มีเบาบางลง ไฟในการทำงานก็จะกลับมามีมากขึ้นได้
เมื่อวางแผนการทำงานได้แล้ว
ประเด็นสำคัญต่อมาที่ต้องคำนึงถึงคือ สภาพแวดล้อมเอื้อให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพหรือไม่
โดยต้องพิจารณาตั้งแต่ความเป็นไปได้ที่จะเติบโตในองค์กรตามเป้าหมายที่วางไว้ เจ้านาย
และหัวหน้างานที่เข้ากันกับการทำงานของตัวผู้ทำงานเอง
รวมถึงเพื่อนร่วมงานที่ไม่ก่อภาวะเป็นพิษ (Toxic) ในที่ทำงาน
องค์ประกอบเหล่านี้มีส่วนก่อกระตุ้นให้เกิดความเครียดได้เช่นกัน
ถึงแม้ว่าคนทำงานอาจจะไม่สามารถเลือกที่ทำงานที่มีแต่ข้อดีทั้งหมดได้
หากแต่พิจารณาแล้วว่าสภาพแวดล้อมการทำงานตามเกณฑ์ข้างต้นมีแนวโน้มไม่ดี
ก็อาจจะต้องพิจารณาว่าสถานที่ทำงานนี้ยังเหมาะอยู่หรือไม่ หรือควรหางานที่เหมาะสมกว่านี้
ประการสุดท้ายที่คนทำงานต้องเปลี่ยน
และปรับให้ภาวะความเครียดลดลงก็คือ ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกจากชีวิตบ้าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูล ข่าวสาร หรือการติดตามชีวิตอินฟลูเอนเซอร์บนโซเชียลมีเดีย
ที่ส่งผลกระทบให้เบียดบังเวลาที่จะใช้โฟกัสไปกับการทำงาน มาเสียกับสิ่งเหล่านี้ไปโดยไม่จำเป็น
อีกทั้งเรื่องราว ข่าวสารที่ได้รับโดยไม่จำเป็นก็ยังไม่นับรวมกับการเสพสื่อโซเชียล
ติตตามชีวิตอินฟลูเอนเซอร์ที่ประสบความสำเร็จจนทำให้รู้สึกกดดันตนเองมากขึ้นไปอีก
ทั้งหมดนี้อาจจะทำให้เกิดภาวะทางอารมณ์ที่กระทบต่อจิตใจ ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงาน
และเมื่องานมีปัญหา ความเครียดและความกดดันจะตามมาในที่สุด ดังนั้น
คนทำงานควรปรับพฤติกรรม ติดตามข่าวสารโซเชียลแต่พอประมาณ เว้นที่ว่างให้กับจิตใจ
เพื่อให้เกิดโฟกัสกับการทำงานให้มากที่สุดจะเป็นผลดีมากกว่า
เมื่อโลกการทำงานเปลี่ยนไป โดยมีเทคโนโลยีและดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น
“คนทำงาน” ก็ควรต้องปรับตาม ทั้งปรับแนวคิด รูปแบบการทำงาน และพฤติกรรม
เพื่อที่จะสามารถทำงาน และใช้ชีวิตร่วมกับเทคโนโลยีต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่เกิดภาวะเครียด ผลที่ตามมาก็คือความสุขและความสำเร็จจากการทำงานที่จะมีมากขึ้นเช่นเดียวกัน
|