บมจ.ซันเวนดิ้ง ขยายตู้จำหน่ายสินค้าอีก
2 พันตู้ รวมทั้งพัฒนาเป็นแบบตู้สมาร์ท เริ่มบุกตลาดที่ลำพูน อุดรฯ ตามลำดับ โดยวางเงินลงทุนไว้ปีหน้าไว้ประมาณ
300 ล้านบาท พร้อมทั้งขยายศูนย์กระจายสินค้าโซนเหนือ-อีสาน นอกจากนี้จะเริ่มเปิดระบบแฟรนไชส์ในปลายปี’64 ซึ่งขณะนี้มีผู้สนใจแล้ว ที่สำคัญการเติบโตของ SVT
จะต้องมีความมั่นคงด้านกำไร และตอบสนองในสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการได้ตลอด
นางอาภัสรา
ภาณุพัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ซันเวนดิ้ง เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) (SVT) เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2565 ว่า บริษัทฯ มีแผนขยายเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติเพิ่มเป็น 17,000 เครื่อง หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 2,000 เครื่อง
จากเดิมในปี 2564 มีจำนวนเครื่องทั้งหมด 14,600 เครื่อง
พร้อมปรับเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติแบบธรรมดาให้เป็นแบบสมาร์ทเพิ่มเป็น 7,500 เครื่อง
ตั้งแต่ต้นปี
2565 บริษัทฯ จะเริ่มขยายตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ โดยเริ่มที่จังหวัดลำพูนเป็นแห่งแรก
เจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นภาคอุตสาหกรรมและจังหวัดอุดรธานี เน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นโรงงาน
ส่วนภาคใต้จะเริ่มดำเนินการได้ในปี 2566 ดังนั้นเป้าหมายหลังจากที่ทำตลาดอย่างต่อเนื่องในปี 2565 ซันเวนดิ้ง วางเป้าให้มีรายได้เติบโตอยู่ที่ประมาณ 25% ซึ่งมีปัจจัยบวกสนับสนุน คือ
ความเชื่อมันเรื่องวัคซีน รวมถึงการเดินหน้าขยายตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติที่ครอบคลุมมากขึ้นและการเปิดธุรกิจใหม่
อย่างแเฟรนไชส์ ระบบเช่าโฆษณาในเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ
และการขายตู้มากขึ้นไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเจ้าของสินค้า หรือผู้ผลิตสินค้าเอง กลุ่มค้าปลีก-ค้าส่ง
และลูกค้ารายย่อย อาทิ โรงแรม โรงเรียน โรงพยาบาล เป็นต้น
สำหรับการลงทุนในปี
2565 จะใช้เงินลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท โดยหลักๆ
จะใช้ในการซื้อตู้เข้ามาเพิ่มรองรับการขยายในธุรกิจแฟรนไชส์
และส่วนที่สองจะใช้ลงทุนซื้ออุปกรณ์และระบบซอฟต์แวร์ในการประกอบตู้สมาร์ท นอกจากนี้ในปีหน้า
บริษัทฯ มีแผนเปิดศูนย์กระจายอีกสองแห่งทางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ และให้เป้าหมายการจำหน่ายตู้ขายสินค้าได้ถึง 2
หมื่นตู้ในปี 2566 และต่อมาคือ แผนโฆษณาผ่านสื่อ โดยในปี 2566
จะมีตู้แบบสมาร์ทจำนวน 15,000 ตู้ เพื่อรองรับการเติบโตในธุรกิจการขายสื่อโฆษณาของซันเวนดิ้ง
"นายพิศณุ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ สายการผลิต พาชมโรงงาน พร้อมอธิบายขั้นตอนต่างๆ อย่างละเอียด"
อย่างไรก็ตาม
ในส่วนของการทำระบบแฟรนไชส์ในประเทศ คาดว่าจะเริ่มเปิดโมเดล
หรือสาขาต้นแบบก่อนภายในสิ้นปี 2564 ซึ่งเบื้องต้นมีลูกค้าสนใจทำแฟรนไชส์แล้วจำนวน
1-2 ราย โดยเป็นโครงการนำร่อง ก่อนที่จะมีการขยายธุรกิจแฟรนไชส์อย่างเป็นทางการในปี
2565
ทั้งนี้
ในเบื้องต้นผู้ทำธุรกิจแฟรนไชส์กับ SVT จะได้รับตู้ขายสินค้าจำนวน 50 เครื่อง พร้อมทำสัญญาเป็นระยะเวลา 5 ปี
และจะได้รับการถ่ายทอดความรู้ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ รวมทั้งมีทีมงานช่วยวิเคราะห์จุดติดตั้งเพื่อให้ยอดขายที่ดี
โดยผู้ประกอบการแฟรนไชส์จะได้ใช้ตู้ CAN แบบสมาร์ท และตู้
Glass Front รวมทั้งบริษัทฯ จะจัดส่งสินค้าที่มีให้เลือกกว่า 700 sku
ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะมีผู้ที่สนใจลงทุนเปิดแฟรนไชส์อีกกว่า
40 รายภายในปี 2566
นายเวทิต
โชควัฒนา ประธานกรรมการบริหาร กล่าวเสริมว่า ธุรกิจเวนดิ้งแมชชีนที่บริษัทฯ
ดำเนินการนั้น ได้พัฒนาบนพื้นฐานของสินค้าประเภทเครื่องดื่ม อาหารสำเร็จรูป ขนม
ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภครับประทานอยู่ประจำ ส่วนกระแสที่ผู้บริโภคต้องการมากกว่านั้น
คือ การเติมเงินมือถือผ่านตู้เวนดิ้ง หรือทานกาแฟรสชาติพรีเมี่ยมจากตู้ขายสินค้า
ซึ่งเหล่านี้เรียกว่า ไฮมาร์จิ้น แต่จะมี S Curve ของธุรกิจที่สั้น ถ้าถามว่าบริษัทฯ
สามารถพัฒนาไปยังบริการเหล่านั้นได้ไหม
ทำได้แต่ต้องไม่ลืมธุรกิจหลักที่กำลังทำอยู่ เพื่อตอบสนองในสินค้าที่ผู้บริโภคยังต้องการ
และไม่ให้ผลิตภัณฑ์ของซันเวนดิ้งต้องถดถอย
“เราเป็นบริษัทที่เจอกับการดิสรัปชั่นมาแล้ว
จึงสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ฉะนั้นเมื่อมีสิ่งใหม่เข้ามา
ต้องศึกษาให้ชัดเจนว่า บริการหรือสินค้าใหม่ๆ นั้น มีอายุในการใช้งานมากน้อยแค่ไหน
หรือถ้าลงทุนมากก็ต้องพิจารณาอย่างละเอียดจริงๆ เราจึงไม่เน้นการเติบโตที่หวือหวา
แต่ต้องการสร้างความมั่นคงด้านกำไรให้มากที่สุด” นายเวทิต กล่าว
นอกจากนี้ในอนาคต
บริษัทฯ มีแผนจะขยายธุรกิจตู้จำหน่ายสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านของไทย
โดยพิจารณาว่า ถ้าตลาดเพื่อนบ้านมีขนาดเล็กก็จะขยายในรูปแบบแฟรนไชส์ เช่น
ถ้าคู่ค้าของซันเวนดิ้งมีธุรกิจเดิมอยู่แล้ว ก็จะเพิ่มตู้เวนดิ้งเข้าไปเสริมการขาย
แต่ถ้าตลาดค่อนข้างใหญ่ บริษัทฯ ก็จะขยายไปในรูปแบบของการร่วมทุน
สำหรับผลการดำเนินงาน
9 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ มียอดรายได้รวม 1,455 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปี 2563 โดยตู้ขายสินค้ากว่า 70%
ตั้งอยู่ในโรงงานอุตสาหกรรม ธุรกิจโลจิสติกส์ และคาดว่าผลประกอบการรายได้ในปี
2564 จะเติบโตจากปี 2563 อยู่ที่ 11%
|