สยามคูโบต้า จับมือวิสาหกิจชุมชนผลิตพันธุ์พืชบ้านพระแก้ว เปิดศูนย์เรียนรู้ชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้า ที่จังหวัดชัยนาท เพื่อให้เป็นต้นแบบการปลูกข้าวแบบครบวงจรของภาคกลาง โดยมุ่งส่งเสริม 3 เรื่องหลัก ด้านการพัฒนาการเกษตร ด้านการแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มและการตลาด และด้านการพัฒนาศักยภาพบุคลากร พร้อมตั้งเป้ารายได้เติบโต 40% ในปี 2569 ซึ่งการเข้ามาของสยามคูโบต้า จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร เรียนรู้เทคโนโลยี เทคนิคใหม่ๆ โดยเฉพาะการนำ KUBOTA (Agri) Solutions หรือ KAS มาผสมผสาน

ในเรื่องนี้ นายคาซึโนริ ทานิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน ผ่าน Smart Farming ควบคู่กับการบริหารจัดการตามหลัก K-ESG ที่เน้นการสร้างสรรค์นวัตกรรมเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ
ล่าสุดสยามคูโบต้าได้ต่อยอดโครงการ “ชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้า” เปิดศูนย์เรียนรู้ชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้า – บ้านพระแก้ว แห่งที่ 7 อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท ซึ่งพัฒนาเป็นชุมชนต้นแบบนวัตกรรมโซลูชันเพาะปลูกข้าวครบวงจร ภายใต้การสนับสนุนของสยามคูโบต้า ผ่านกิจกรรมการเกษตรที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรไทยได้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต และต่อยอดสู่เป้าหมายในการสร้างสรรค์ชุมชนต้นแบบเกษตรคาร์บอนต่ำในอนาคต

ขณะที่นางวราภรณ์ โอสถาพันธุ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ริเริ่มโครงการชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้ามาตั้งแต่ปี 2554 จนถึงตอนนี้เป็นเวลา 14 ปี ได้มุ่งมั่นในการมีส่วนร่วมพัฒนาวิถีชีวิตของเกษตรกรไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการยกระดับภาคเกษตรกรรมของประเทศ
สำหรับศูนย์เรียนรู้ฯ บ้านพระแก้วแห่งนี้ ถือเป็นแห่งแรกของภาคกลางที่สยามคูโบต้าได้เข้าไปสนับสนุนวิสาหกิจชุมชนผลิตพันธุ์พืชบ้านพระแก้ว เพื่อพลิกโฉมสู่การเป็นชุมชนเกษตรต้นแบบด้านนวัตกรรมโซลูชันเพาะปลูกข้าวครบวงจร ทั้งยังเป็นศูนย์การปลูกผักเชิงพาณิชย์แห่งแรกของสยามคูโบต้า ที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างรายได้อย่างยั่งยืนแก่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ โดยตั้งเป้าหมายรายได้เฉลี่ยของศูนย์เรียนรู้ บ้านพระแก้ว เติบโตขึ้นกว่า 40% ภายในปี 2569 ซึ่งมีหัวใจสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนภายใต้ 3 แกนหลัก ได้แก่ ด้านการพัฒนาการเกษตร ส่งเสริมการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพาะปลูกข้าวด้วยวิธีการเกษตรครบวงจร KUBOTA (Agri) Solutions หรือ KAS ทั้งการทำนาดำ นาหยอดน้ำตม และนาหยอดแห้ง อีกทั้งนำร่องปลูกข้าวด้วยแนวทางเกษตรคาร์บอนต่ำ เกษตรปลอดนาหว่าน เกษตรปลอดการเผา การปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง และการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ

ด้านการแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางการตลาด ส่งเสริมการเพิ่มโอกาสสร้างรายได้ตลอดทั้งปีด้วยการปลูกพืชมูลค่าสูง (High Value Crop) ได้แก่ พืชผักเชิงพาณิชย์ ที่ได้มาตรฐาน GAP และพัฒนาต่อยอดเป็นโรงคัด ตัด แต่งและบรรจุภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน GMP เพื่อเป็นจุดรวบรวมผลผลิตของสมาชิกภายในกลุ่มเกษตรกรและเป็นแหล่งสร้างงานสร้างรายได้ของชุมชน
ปัจจุบันชุมชนฯ มีผลผลิตที่ได้รับมาตรฐานการผลิตพืช GAP จำนวน 9 ชนิด ได้แก่ โหระพา ต้นหอม มะเขือ พริกจินดา ผักชีฝรั่ง ผักชีไทย ผักกวางตุ้ง ผักบุ้ง และขึ้นฉ่าย โดยอาศัยกระบวนการปลูกที่นำระบบ IoT มาใช้ทำให้สามารถรักษามาตรฐานการผลิตและควบคุมผลผลิตได้อย่างแม่นยำ ด้านการพัฒนาศักยภาพบุคลากร ยกระดับด้านการพัฒนาศักยภาพบุคลากร โดยวางแผนโครงสร้างการบริหารจัดการกลุ่มอย่างเป็นระบบเพื่อให้กลุ่มเกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
“เพื่อขับเคลื่อนการบริหารจัดการตามหลัก K-ESG ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลอย่างเป็นรูปธรรม สยามคูโบต้าจึงได้ตั้งเป้าหมายสู่การปลูกข้าวโลว์คาร์บอนครบวงจร ภายใต้โครงการ Low Carbon Agriculture Farmily โดยมุ่งสร้าง Ecosystem การปลูกข้าวแบบยั่งยืน เริ่มจากชุมชนต้นแบบของเราเอง ซึ่งเน้นการส่งเสริมการปลูกข้าวแบบลดคาร์บอนตลอดกระบวนการ ตั้งแต่การเตรียมดิน ที่มุ่งส่งเสริมการใช้ “ไบโอชาร์” ในปริมาณที่เหมาะสมกับสภาพดิน เพื่อช่วยกักเก็บคาร์บอนในดิน การเพาะปลูกด้วยการรณรงค์ทำ "นาเปียกสลับแห้ง" เพื่อลดการขังน้ำซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการปล่อยก๊าซมีเทน การจัดการฟาง มุ่งเน้นให้เกษตรกรทำการ "อัดฟางข้าว" เพื่อนำไปผลิตเป็นไบโอชาร์สำหรับใช้ในขั้นตอนเตรียมดินต่อไป จนเกิดเป็นการสร้างวงจรหมุนเวียนให้เกิดขึ้นในระบบ Farmily เพื่อนำไปสู่การพัฒนาภาคเกษตรกรรมมุ่งสู่เป้าหมาย NET ZERO 2050 อย่างยั่งยืน อีกทั้งยังเป็นต้นแบบให้แก่เกษตรกรในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียงได้ศึกษาและนำไปประยุกต์ใช้ได้ต่อไปในอนาคต” นางวราภรณ์ กล่าวทิ้งท้าย

ด้านนายวิทยา ชพานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท กล่าวว่า ปัจจุบันจังหวัดชัยนาทมีนโยบายมุ่งเน้นการพัฒนาเกษตรและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการขับเคลื่อน “ชัยนาทโมเดล” ที่ส่งเสริมอาชีพเสริมให้แก่เกษตรกรเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ซึ่งได้นำแนวคิด BCG Economy มาใช้ยกระดับการปลูกข้าวรักษ์โลกและสินค้าเกษตรปลอดภัย ควบคู่ไปกับการผลักดันเศรษฐกิจฐานราก การพัฒนาตลาดชุมชน ตลอดจนการท่องเที่ยวเชิงวิถีชีวิตชุมชน เพื่อเสริมสร้างรายได้และความมั่นคงให้กับประชาชนจังหวัดชัยนาทอย่างรอบด้าน
ดังนั้นการเข้ามาช่วยแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ใหม่ๆ จากสยามคูโบต้า ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยี-นวัตกรรมการเกษตร ถือเป็นการสานต่อนโยบายดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยการ สนับสนุนองค์ความรู้ในการปลูกข้าวและปลูกผักเชิงพาณิชย์ที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีแบบครบวงจร ไม่เพียงสามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรในชุมชน แต่ยังเป็นการหลอมรวมพลังของชุมชนภาคการเกษตรที่เข้มแข็ง เพื่อรับมือกับทุกการเปลี่ยนแปลงท่ามกลางความท้าทายของภาคเกษตรกรรมไทย

นายบุญฤทธิ หอมจันทร์ ประธานวิสาหกิจชุมชนผลิตพันธุ์พืชบ้านพระแก้ว เปิดเผยว่า วิสาหกิจชุมชนผลิตพันธุ์พืชบ้านพระแก้วจัดตั้งขึ้น เพื่อตอบสนองต่อนโยบายภาครัฐในการรับการสนับสนุนและความช่วยเหลือจากหน่วยงานราชการ โดยสมาชิกส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรที่ประสบปัญหาในการทำนาแบบดั้งเดิมซึ่งเผชิญกับอุปสรรคหลายด้าน อาทิ ปัจจัยด้านต้นทุนการผลิต ราคาปุ๋ยและสารเคมีที่สูงขึ้น รวมถึงเมล็ดพันธุ์คุณภาพที่มีราคาสูง แต่กลับได้ผลผลิตน้อยและไม่ได้มาตรฐาน
ขณะเดียวกันยังต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนแรงงาน ราคาข้าวที่ผันผวน และสภาพอากาศที่แปรปรวน เกษตรกรจึงต้องอยู่ในภาวะขาดทุน การได้รับความสนับสนุนจากสยามคูโบต้าที่เข้ามาพัฒนากลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตพันธุ์พืชบ้านพระแก้ว ตั้งแต่ปี 2563 จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ทำให้กลุ่มเกษตรกรได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ได้เรียนรู้การใช้เทคโนโลยี-นวัตกรรมเกษตรอย่างชาญฉลาด รวมถึงองค์ความรู้และเทคนิคใหม่ๆ โดยเฉพาะการนำเกษตรครบวงจร KUBOTA (Agri) Solutions หรือ KAS ที่ผสมผสานเทคนิคการเพาะปลูกเข้ากับนวัตกรรมเครื่องจักรกลการเกษตร อาทิ แทรกเตอร์ เครื่องหยอด รถดำนา โดรนการเกษตร และรถเกี่ยวนวดข้าว ทำให้การทำงานมีความแม่นยำและบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังตอบโจทย์เรื่องการลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตและได้คุณภาพผลิตผลที่ดียิ่งขึ้น

ปัจจุบันศูนย์เรียนรู้ฯ บ้านพระแก้ว จ.ชัยนาท มีจำนวนสมาชิกรวม 42 คน ภายใต้พื้นที่การเกษตรรวม 750 ไร่ แบ่งเป็นพืชหลัก ได้แก่ ข้าว จำนวน 726 ไร่ และพืชเสริม จำนวน 24 ไร่ ประกอบด้วย ไม้ผล ผักสวนครัว และหัวหอม โดยมีกิจกรรมหลักในการเพาะปลูกข้าวหอมปทุมธานี และปลูกผักสวนครัวเชิงพาณิชย์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสยามคูโบต้า ทำให้สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตแก่กลุ่มเกษตรกรที่เคยรวมกลุ่มทำนาในพื้นที่เดียวกัน ทั้งยังได้ศึกษาการปรับเปลี่ยนวิถีการทำนาให้คุ้มค่า ควบคู่การมีส่วนร่วมช่วยลดภาวะโลกร้อนและหันมาปรับใช้วิธีการทำนาสมัยใหม่อย่างเป็นรูปธรรม
โดยสำหรับเป้าหมายในอนาคต มุ่งหวังว่าจะสามารถพัฒนาศูนย์เรียนรู้ฯ บ้านพระแก้วให้เป็นฟาร์มนวัตกรรมเกษตรสมัยใหม่สู่ความยั่งยืน หรือ “Smart Farming Model” ระดับภูมิภาค ต่อยอดสู่การปลูกข้าวคาร์บอนต่ำครบวงจรที่มีศักยภาพสูงเพื่อเป็นโมเดลต้นแบบของภาคเกษตรกรรมไทย
ตุลาคม 2568