บมจ.ถิรไทย
ประเมินปี 68 ทิศทางเศรษฐกิจยังดูผันผวน จำเป็นต้องเพิ่มประสิทธิภาพงานให้ดี ปรับปรุงกระบวนการผลิต
บริหารต้นทุนให้ต่ำ เพื่อทำกำไรขั้นต้นให้ได้มากกว่า 20% รวมทั้งเกาะติดงานประมูลใหม่อีกว่า
12,000 ล้านบาท และเพิ่มการส่งออกใน Q4/67
ไปยังตลาดยุโรป-สหรัฐ โดยคาดว่าผลประกอบการรายได้ปีนี้จะอยู่ที่ 2,804 ล้านบาท
นายสัมพันธ์
วงษ์ปาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) (TRT) เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2568 บริษัทฯ ยังคงกลยุทธ์การบริหารให้ทุกไตรมาสมีรายได้เท่ากัน
เพื่อรักษาระดับรายได้ให้ใกล้เคียงกับผลการดำเนินงานในปี 2567
เนื่องจากทิศทางเศรษฐกิจในปีหน้ายังมีความผันผวน
และมีหลายปัจจัยที่เป็นตัวแปรสำคัญซึ่งไม่สามารถควบคุมได้
และอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ เช่น นโยบายการค้าของชาติมหาอำนาจ อย่างไรก็ตาม
แม้ว่าบริษัทฯ จะวางเป้าหมายรายได้ให้ใกล้เคียงกับปี 2567 แต่ด้านอัตรากำไรขั้นต้น
(Gross
Profit Margin) คาดว่าจะทำอัตรากำไรขั้นต้นให้ได้มากกว่า 20%
โดยจะมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานภายใน
การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตภายในโรงงาน รวมถึงซัพพลายเชนต่างๆ
เพื่อช่วยในการบริหารต้นทุนให้ต่ำลง แต่ทำอัตรากำไรได้เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้
จะบริหารกระแสเงินสดและอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมด้วย
รวมถึงอยู่ระหว่างการติดตามงานประมูลเพิ่มเติม คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 12,555
ล้านบาท ซึ่งมีโอกาสที่จะประมูลสำเร็จและได้ทำงานประมาณ 20-25%
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ
จะเดินหน้าขยายตลาดส่งออกเพิ่ม ไปยังกลุ่มประเทศในกลุ่มยุโรปและสหรัฐอเมริกา เช่น
อังกฤษ และเยอรมนี
จากปัจจุบันที่ส่งสินค้าออกไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนและเอเชียเป็นหลัก
ซึ่งคาดว่าในช่วงไตรมาส 4 ปี 2568
จะเห็นสัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และในอีก 2-3
ปีข้างหน้า จะวางเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้ใน 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มลูกค้าภาครัฐ
กลุ่มลูกค้าเอกชน และตลาดส่งออกให้มีสัดส่วนที่เท่ากัน
จากปัจจุบันรายได้หลักมาจากลูกค้าภาครัฐประมาณ 80% และภาคเอกชนประมาณ 20%
ด้านนายกานต์
วงษ์ปาน เลขานุการบริษัท และผู้จัดการฝ่ายการเงินบัญชีและเทคโนโลยีสารสนเทศ บมจ.
ถิรไทย กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในรอบ 9 เดือนแรกที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้รวม
2,330.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีรายได้รวม 1,389.81
ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขายและบริการ 2,284.03 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีรายได้รวม 1,370.90 ล้านบาท
มีอัตรากำไรขั้นต้น 554.24 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีจำนวน 322.80 ล้านบาท
คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ 24.27 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ร้อยละ
23.55
“จะเห็นว่าผลการดำเนินงานในรอบ
9 เดือนแรกที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวมดีที่สุดในรอบ 4 ปีนับตั้งแต่ปี 2564
ที่มีรายได้รวม 2,047.84 ล้านบาท และจากอัตรากำไรขั้นต้นที่มากกว่าร้อยละ 20
ส่งผลให้มี EBITDA จำนวน 412.55 ล้านบาท EBIT จำนวน 376.68 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจำนวน 244.89 ล้านบาท
คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ร้อยละ 10.51 สูงสุดในรอบ 4 ปีเช่นกัน” นายกานต์ กล่าว
ดังนั้นคาดว่าในปีนี้บริษัทฯ จะทำรายได้รวมจำนวน 2,804 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ แบ่งเป็นรายได้จากกลุ่มธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า (Transformer) ซึ่งมีลูกค้าหลักเป็นหน่วยงานภาครัฐ รวมมูลค่า 2,590 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจที่ไม่ใช่หม้อแปลง เช่น แบตเตอรี่ลิเธียม, รถกระเช้า, รถเครน, และตัวถังหม้อแปลงไฟฟ้า มูลค่า 214 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2567 รวมมูลค่า 1,459 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายที่เตรียมส่งมอบและรับรู้รายได้ในปีนี้ 548 ล้านบาท และในปี 2568 มูลค่า 879 ล้านบาท ในปี 2569 มูลค่า 14 ล้านบาท
|