เมื่อการสอนของอาจารย์ต้องมี “ปัญญาประดิษฐ์” เข้ามาเสริมถือเป็นสิ่งที่ดี เพราะช่วยออกแบบวางแผนสื่อการเรียนได้ง่ายขึ้น แต่ผู้สอนจำเป็นต้องวิเคราะห์ข้อมูลให้ละเอียดก่อนนำไปใช้ เช่นเดียวกับงานแปล ที่สนับสนุนผู้ใช้งานให้เกิดความสะดวก แต่มีข้อจำกัดตรงที่ AI ไม่เข้าใจบริบททางวัฒนธรรมและอารมณ์ ความรู้สึก ของงานแปล ซึ่งต้องอาศัยมนุษย์ตีความอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง ที่สำคัญ อย่าให้ AI มาควบคุมผู้ใช้งาน ในยุคที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในหลากหลายวงการ หนึ่งในนั้นคือ วงการการศึกษา ซึ่งเห็นได้ว่ามีหลายประเด็นที่ถูกตั้งข้อสงสัยขึ้นทั้งการเรียนรู้ผ่านเครื่องมือ AI บทบาทของ AI ที่จะมาแทนอาชีพครู นักเรียนนักศึกษายุคใหม่ที่ใช้ AI ในการทำงาน ข้ามไปถึงการนำเครื่องมือดังกล่าวมาใช้อย่างแพร่หลายที่อาจทำลายจริยธรรมทางวิชาการในอนาคต
หลายคนคงมีคำถามแล้วว่า AI จะเข้ามาแทนที่มนุษย์ และทำหน้าที่ในการเรียนการสอนได้จริงหรือไม่ ผู้รันวงการการศึกษาของไทยอย่าง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) จึงอยากพาไปเจาะลึกบทบาท AI ในภาคการศึกษาผ่านมุมมองของ ผศ. ดร.กฤติยา เขื่อนเพชร จากสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมด้วย ดร.สานุช เสกขุนทด ณ ถลาง ผู้เชี่ยวชาญจากโครงการแปลและล่ามในยุคดิจิทัล คณะศิลปศาสตร์ ที่จะมาบอกถึงประสบการณ์การใช้ AI ในการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย ไปดูพร้อมกันเลยว่า จะท้าทายแนวคิดการใช้เทคโนโลยีในภาคการศึกษาไทยอย่างไรกันบ้าง Generative AI เครื่องมือสุด Mass ที่ช่วยลดความซ้ำซ้อนของการเรียน “สายวิทย์” ผศ.ดร.กฤติยา ได้เล่าถึงประโยชน์ของ AI ในด้านการศึกษาไว้อย่างน่าสนใจว่า AI ได้กลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยแบ่งเบาภาระงานของอาจารย์ในหลายด้าน โดยเฉพาะงานที่ใช้เวลามาก คือ ช่วยออกแบบแผนการสอนได้โดยการวิเคราะห์เนื้อหาและจัดสรรข้อมูลให้ตรงกับมาตรฐานการเรียนรู้ของนักศึกษา อีกทั้งยังช่วยอำนวยความสะดวกในการออกแบบสื่อการสอนที่มีความน่าสนใจ เช่น การสร้างภาพและสื่อโสตทัศน์ที่เกี่ยวข้องกับบทเรียน เพื่อให้เนื้อหาดูน่าสนใจและเข้าถึงนักศึกษาได้ดียิ่งขึ้น “ตัวอาจารย์เป็นผู้ช่วยคณบดี ภายใต้การนำของ รศ.ดร.สุเพชร จิรขจรกุล ซึ่งท่านเป็นผู้ริเริ่มใช้ AI ในคณะวิทย์ฯ ทำให้เราต้องศึกษาและได้เรียนรู้เทคโนโลยีด้านนี้ไปด้วย โดยทุกวันนี้ก็มีใช้ ChatGPT Perplexity Copilot มาช่วยสร้างแรงบันดาลใจและร่างแนวคิดเบื้องต้น จากนั้นก็นำมาต่อยอดและพัฒนาให้เป็นไอเดียใหม่ๆ เพื่อการออกแบบสื่อการเรียนการสอน สร้างภาพจำลองกระบวนการผลิต โมเดลอาหารต้นแบบ บรรจุภัณฑ์อาหาร เสริมไอเดียผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอาหาร วิเคราะห์ข้อมูลทางการตลาด ประเมินความต้องการของผู้บริโภค และคาดการณ์แนวโน้มทางอาหารในอนาคต ซึ่งสิ่งนี้ช่วยให้มีเวลาในการพัฒนาตนเองและทำงานบริการอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นงานวิจัย นวัตกรรมใหม่ๆ หรือการบริการวิชาการที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อประโยชน์ของสังคมมากขึ้น นับว่า AI ได้มาเสริมสร้างประสิทธิภาพในระบบการศึกษาและเพิ่มคุณภาพการสอนให้ดียิ่งขึ้น” ผศ.ดร.กฤติยา กล่าว
ทั้งนี้ ผศ. ดร.กฤติยา เสริมอีกว่า AI ไม่ได้เป็นศัตรูต่อครูผู้สอน แต่กลับเป็นผู้ช่วยที่มีศักยภาพสูงในการยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกระบวนการเรียนรู้ โดยอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าอาจารย์จะต้องวิเคราะห์ข้อมูลทุกอย่างของ AI อีกขั้นหนึ่งก่อนจะนำไปสอนนักศึกษา โดยนักศึกษาเองก็สามารถใช้ AI ในการเรียนได้เช่นเดียวกัน ซึ่งช่วยให้นักศึกษาเข้าใจเนื้อหาเชิงลึกบางอย่างได้รวดเร็ว อาทิ การใช้ AI ในการค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้านการผลิตและแปรรูปอาหาร ช่วยแปลและสรุปเนื้อหาจากบทความวิจัยต่างประเทศให้เข้าใจง่ายขึ้น หรือการวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อน และในขณะเดียวกันยังสามารถเพิ่มการเข้าถึงเนื้อหาที่หลากหลาย โดยจะต้องใช้อย่างชาญฉลาดและรู้จักคิด วิเคราะห์ แยกแยะข้อมูลเท็จ/จริง มิใช่นำข้อมูลของ AI มาใช้จนหมดและไม่ผ่านการไตร่ตรองเลย AI ยังมีบทบาทสำคัญในการเสริมการเรียนการสอนเพื่อพัฒนา Soft Skills ที่จำเป็น ซึ่งสามารถช่วยให้นักศึกษาพัฒนาทักษะสำคัญเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ การใช้ AI ช่วยฝึกทักษะการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล รวมถึงการพัฒนาทักษะการเป็นผู้ประกอบการ นักศึกษาสามารถใช้ AI เป็นเครื่องมือในการค้นหาข้อมูลจาก Big Data ฝึกฝนแนวคิด Design Thinking และ Lean Canvas รวมถึงเรียนรู้การตั้งราคาและหาจุดคุ้มทุนซึ่งอาจจะดูห่างไกลจากความเป็นวิทยาศาสตร์ แต่สามารถเรียนรู้ได้อย่างง่ายดายด้วย AI ทำให้การเรียนรู้ในเรื่องเหล่านี้เป็นไปอย่างสนุกและเข้าใจได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น “บทบาทของอาจารย์ยังคงสำคัญมากในการชี้นำและสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักศึกษา โดย AI เป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนก็จริง แต่สุดท้ายแล้วการเรียนรู้ที่มีคุณค่ามากที่สุดคือ การเรียนรู้ที่เกิดจากการสนทนาและแลกเปลี่ยนความคิดระหว่างบุคคล” ผศ. ดร.กฤติยา ให้ความเห็นเพิ่มเติม เมื่อวงการล่ามถูก AI ดิสรัปชั่น การเข้าใจธรรมชาติและความสามารถของ AI จึงเริ่มอย่างเข้มข้น ด้าน ดร.สานุช เปิดเผยถึงการเปลี่ยนแปลงในวงการศึกษา โดยเฉพาะด้านการแปลภาษาและล่าม ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ต้องการความเข้าใจเชิงลึกทั้งในด้านภาษาและบริบทวัฒนธรรมว่า ทุกวันนี้ AI ได้กลายมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนวงการแปลเป็นอย่างมาก กล่าวคือ นักศึกษาสามารถใช้เทคโนโลยี AI เพื่อช่วยให้การแปลและการเข้าใจภาษาที่สามารถประมวลผลได้อย่างรวดเร็ว พร้อมเป็นเครื่องฝึกฝนตนเองในด้านภาษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ดร.สานุช ได้สะท้อนให้เห็นถึงข้อจำกัดสำคัญที่ยังคงมีอยู่ใน AI และแอปแปลภาษาต่างๆ คือ แม้ว่า AI จะสามารถแปลข้อความได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังขาดความสามารถในการเข้าถึงบทบาทและความหมายเชิงลึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการเข้าใจอารมณ์และบริบทที่อยู่เบื้องหลังคำพูดหรือข้อความนั้นๆ การแปลความหมายโดย AI ยังไม่สามารถจัดการกับเรื่องที่มีความรู้สึกได้ ซึ่งหากใช้โดยไม่มีมนุษย์ช่วยตรวจทานอาจสร้างความเข้าใจผิดได้ ตัวอย่างเช่น การผ่าตัดของคุณหมอวันนี้คนไข้ตายแน่นอน อาจสร้างความวิตกกังวลให้กับผู้ฟัง แต่หากแปลโดยมนุษย์จะสามารถปรับเปลี่ยนเป็น การผ่าตัดของคุณหมอวันนี้มีโอกาสสำเร็จน้อย ซึ่งสามารถช่วยลดความรุนแรงของข้อความได้ เป็นต้น ทำให้การแปลของ AI ยังคงมีความแตกต่างจากการแปลที่ทำโดยมนุษย์ที่เข้าใจในแง่มุมละเอียดอ่อนเหล่านี้อย่างแท้จริง
ทั้งนี้ AI ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงในวิชาชีพและการเรียนการสอนอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งผู้สอนจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการสอน โดยเน้นให้นักศึกษารู้จักใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพและตระหนักถึงข้อจำกัดของเทคโนโลยี AI พร้อมกระตุ้นให้นักศึกษาต้องเรียนรู้ทักษะที่จำเป็น เช่น การเข้าใจบริบทและวัฒนธรรม ซึ่งเป็นทักษะที่ AI ยังไม่สามารถแทนที่ได้ ผลในการพึ่งพา AI มากเกินไป อาจทำให้นักศึกษาขาดความเข้าใจเชิงลึกในประเด็นที่ต้องอาศัยการตีความเชิงมนุษย์ “ปัจจุบัน AI ได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากในวงการแปลภาษา โดยช่วยให้กระบวนการทำงานสะดวกขึ้น เช่น การแปลข้อความอัตโนมัติ และการจัดการข้อมูลที่ซับซ้อน แต่ในทางกลับกัน AI ยังเป็นตัวกระตุ้นให้หลักสูตรการเรียนการสอนต้องปรับตัวเพื่อพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับนักศึกษา ซึ่งข้อดีของ AI คือ ช่วยเพิ่มความเร็วและความสะดวกในการแปล แต่ข้อจำกัดของมันคือ AI จะไม่เข้าใจบริบททางวัฒนธรรมและให้อารมณ์ของงานแปลให้มีความหมายลึกซึ้งได้เลย ซึ่งส่วนนี้ยังต้องอาศัยมนุษย์ในการตัดสินใจ เป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องสอนนักศึกษาให้พร้อมรับมือกับข้อจำกัดของ AI” ดร.สานุช กล่าว ข้อต้องคิด “อย่าให้ AI มา Generate ไอเดีย” ดร.สานุช ได้แบ่งปันประสบการณ์การนำ AI มาใช้อีกว่า ไม่ว่าจะเป็น ChatGPT Claude Gemini หรือ Perplexity ที่ใช้ในสื่อการสอน หรือการทำงานวิชาการอื่น ๆ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยในการแปลภาษาเบื้องต้น แต่ยังสามารถเป็นแหล่งข้อมูลและที่ปรึกษาสำหรับการตรวจสอบความถูกต้องของภาษาและแนวคิดต่างๆ ในการแปลได้อีกด้วย และแม้ว่า AI เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยม แต่ด้วยเทคโนโลยีในตอนนี้ AI ยังไม่ควรนำมาใช้ในการแปลเอกสารที่มีความสำคัญมากๆ เช่น เอกสารที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เอกสารเกี่ยวกับการทูต หรือเอกสารทางกฎหมายต่างๆ เพราะระดับความสำคัญทำให้ต้องใช้คนทำความเข้าใจ ตีความและลงมือทำด้วยตนเองอยู่ แต่เอกสารอื่นๆ สามารถทำได้โดยผู้ใช้จะต้องมีความรู้ที่มากกว่า AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลที่ AI ผลิตออกมาให้
แม้ AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนการสอน แต่ผู้สอนต้องมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้และต้องรู้วิธีการผสานเทคโนโลยีเข้ากับกระบวนการเรียนการสอนให้ได้ โดยการสอนนักศึกษาให้รู้จักใช้ AI อย่างชาญฉลาด และอาจารย์ยังคงมีบทบาทสำคัญในการชี้นำทิศทางการเรียนรู้และสร้างบรรยากาศการศึกษาที่มีความหมาย ส่วน AI ควรเป็นเพียงเครื่องมือช่วยเสริมการเรียนรู้เท่านั้น และอย่าให้ AI มา Generate ไอเดีย เพราะจะทำให้เราคิดไม่เป็น แต่ใช้การระดมความคิดได้ โดยยึดมั่นเสมอว่า ผู้ใช้ AI จะต้องรู้การนำไปใช้มากกว่า AI เสมอ และจะต้องวิเคราะห์ข้อมูลที่ AI แสดงผลออกมา และให้คิดเสมอว่า ‘You are THE BOSS’ ดังนั้น การใช้ AI จะเป็นก้าวใหม่ที่น่าตื่นเต้น แต่การนำเทคโนโลยีเข้ามาไม่ได้หมายความว่าจะต้องแทนที่อาจารย์ เพราะอาจารย์ยังคงเป็นหัวใจของการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ โดยทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำแนะนำและสนับสนุนนักศึกษาอย่างใกล้ชิด ขณะที่ AI จะเข้ามาช่วยเสริมในด้านการจัดการข้อมูล การประเมินผล และการนำเสนอเนื้อหาที่สร้างสรรค์ ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างสมดุลที่เหมาะสมระหว่างการใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารระหว่างบุคคล
3 ธันวาคม 2568
|