กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย
ได้จัดงานเสวนาในเรื่อง FAST TRACK to the NET ZERO ในวาระครบรอบการดำเนินงาน 125 ปี
โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความยั่งยืนด้วยนวัตกรรมที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้น้อยลง
ในงานนี้ได้เชิญ นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
กระทรวงพาณิชย์ ขึ้นกล่าวในหัวข้อ Surviving in the Low-carbon Export Markets หรือ
ทางรอดสินค้าส่งออกไทยในตลาดคาร์บอนต่ำ
นางอรมน กล่าวว่า
ขณะนี้ทุกเวทีการค้าโลกรวมถึงนักธุรกิจทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับเรื่อง Climate Change และพร้อมให้การสนับสนุนสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ดังนั้นทางรอดการส่งออกไทยจึงต้องปรับตัวไปสู่ Net Zero พร้อมนำนวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อมมาปรับใช้เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ถนนทุกสายมุ่งสู่ Climate Change
ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
หรือ Climate Change มีความสำคัญมาก
ทุกเวทีการค้าระหว่างประเทศมุ่งไปสู่การมีส่วนร่วมเพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ล่าสุดบนเวที WTO มีสมาชิก 6 ประเทศ อาทิ นิวซีแลนด์
นอร์เวย์ สวิตเซอร์แลนด์ไอซ์แลนด์ ฯลฯ
เสนอให้มีการลดภาษีสินค้าและบริการด้านสิ่งแวดล้อม จัดทำแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการติดฉลากสิ่งแวดล้อม
และขอให้ยกเลิกการอุดหนุนน้ำมันฟอสซิล
ขณะที่เวทีการประชุม
APEC ซึ่งปีนี้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ
ก็ให้ความสนใจเรื่อง Climate Change เพราะสมาชิกมีการจัดทำบัญชีรายการสินค้าเพื่อลดภาษีนำเข้าให้เหลือไม่เกิน
5% ใน 54 รายการสินค้า และอยู่ระหว่างการจัดทำแนวทางส่งเสริมและอำนวยความสะดวกแก่บริการสิ่งแวดล้อมนอกจากนี้
ในเวทีของ FTA ยุคใหม่ก็มักมีเรื่องการค้าและการพัฒนาที่ยั่งยืน
ซึ่งรวมเรื่องสิ่งแวดล้อมและ Climate Change เป็นประเด็นสำคัญในการเจรจา
สำหรับเวทีใหญ่อย่างกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
(UNFCCC) ซึ่งมีสมาชิกถึง
197 ประเทศทั่วโลก มีหลักการสำคัญระบุว่าทุกประเทศมีความรับผิดชอบในการแก้ปัญหา Climate
Change แต่ประเทศพัฒนาแล้วควรจะมีการดำเนินการที่เข้มข้นกว่าประเทศกำลังพัฒนา
และมาตรการที่ใช้แก้ปัญหา Climate Change ไม่ควรเป็นการแอบแฝงการกีดกันการค้า
ในการประชุมรัฐภาคี
UNFCCC ครั้งที่ 26
หรือ UN Climate Change Conference of the Parties (COP26)
เมื่อปลายปีที่แล้ว
นอกจากข้อตกลงที่จะร่วมมือกันรักษาอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 1.5
องศาเซลเซียสแล้ว เพื่อบรรลุเป้าหมายของการแก้ปัญหา Climate Change ยังมีข้อตกลงที่จะเร่งความพยายามในการลดการใช้พลังงานถ่านหิน
ยกเลิกการอุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิล
และเร่งระดมเงินทุนเพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนา เป็นต้น
มาตรการ CBAM ของ EU
EU อยู่ระหว่างเตรียมใช้มาตรการ CBAM
(Carbon Border Adjustment Mechanism) ซึ่งเป็นการเก็บภาษีคาร์บอนกับสินค้านำเข้า
โดยจะเริ่มบังคับใช้ในปี 2566 กับสินค้า 5 ประเภท ได้แก่ ซีเมนต์ ไฟฟ้า ปุ๋ย เหล็ก
และเหล็กกล้า และอลูมิเนียม และอาจขยายให้ครอบคลุมสินค้าประเภทอื่นด้วยในอนาคต
โดยในช่วง 3 ปีแรก (2566–2568) จะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน
ให้ผู้นำเข้าเพียงแค่รายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ EU ทราบ และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป
ผู้นำเข้าจะต้องจ่ายภาษีคาร์บอนตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้าที่ตนนำเข้า
สำหรับสินค้าส่งออกของไทยที่เกี่ยวข้องกับมาตรการ CBAM ในปี 2564
ไทยส่งออกสินค้าตามรายการ CBAM ไป EU $186.61
ล้าน USD (6,113.69 ล้านบาท) คิดเป็น 3.52%
ของการส่งออกสู่โลก เช่น เหล็ก และเหล็กกล้า มีมูลค่าส่งออก 4,109.08 ล้านบาท หรือ
คิดเป็น 3.76% อลูมิเนียม มีมูลค่าส่งออก 2,004.15 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.75%
ของการส่งออกจากไทยไปตลาดโลก และ ซีเมนต์ ปุ๋ย และไฟฟ้าไทยส่งออกไป EU ในปริมาณที่น้อยหรือเป็นศูนย์
บทบาทรัฐบาลไทยต่อปัญหา
Climate Change
ในขณะที่รัฐบาลไทยก็ให้การสนับสนุนเรื่อง
Climate Change โดยไทยตั้งเป้าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง
40% ภายในปี พ.ศ. 2573 และมุ่งสู่ net zero ภายในปี พ.ศ. 2608
โดยที่ผ่านมามีการดำเนินงานที่สำคัญในเรื่องนี้ เช่น กระทรวงทรัพยากรฯ
ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดทำแผนแม่บทเพื่อวางทิศทางไปสู่นโยบายที่ได้วางไว้
เช่น การส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน การลดปริมาณการปล่อยของเสีย การปลูกป่าเพิ่มขึ้น
การเพิ่มประสิทธิภาพของการเดินทางและขนส่ง การลดการใช้พลังงานภายในอาคาร
และการส่งเสริมการลงทุนภาคอุตสาหกรรมที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ การลดปริมาณการเกิดของเสีย
การพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
และการเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวของชุมชน การพัฒนาข้อมูล งานศึกษาวิจัย
และเทคโนโลยีเกี่ยวกับ Climate Change รวมถึงการจัดทำร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
เป็นต้น
ทางรอดของการส่งออกไทย
อรมน ทรัพย์ทวีธรรม
กล่าวถึงการส่งออกของไทยว่า
ทางรอดของการส่งออกไทยคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ในเรื่องของการปรับตัวให้ทันสถานการณ์
รวมถึงการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาช่วยให้กระบวนการผลิตที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมโดยมุ่งเรื่องการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ
และมุ่งสู่ Net
Zero ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดแบบ Bio-Circular-Green' Economy หรือ BCG ที่ประเทศไทยกำลังพยายามเดินไปในเส้นทางนี้อยู่แล้ว
นอกจากนี้
ภาคธุรกิจด้านการผลิตควรเตรียมความพร้อมเรื่องการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรและผลิตภัณฑ์
ซึ่งมีองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)
สามารถเป็นที่ปรึกษาในการประเมินเรื่องนี้
รวมทั้งเข้าร่วมโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย
และซื้อขายคาร์บอนเครดิต และสุดท้ายใช้ความพยายามในเรื่อง Climate Change มาเป็นจุดขายเพื่อดึงดูดผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
“ทางรอดอีกทางหนึ่งคือ
แสวงหาโอกาสใหม่ๆ ของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการลดการปล่อยคาร์บอนฯ ซึ่งตอนนี้ FTA ไม่ได้คุยเฉพาะเรื่องการเปิดตลาดสินค้าเท่านั้น
แต่ยังมีเรื่องการบริการและการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ Climate Change ซึ่งบริษัทเอกชนของไทยควรศึกษาและสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ
เพื่อพัฒนาธุรกิจบริการให้คำปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม พลังงานหมุนเวียน เป็นต้น
ส่วนผู้ประกอบการขนาดเล็ก หรือ SMEs ก็ควรจะต้องติดตามและเรียนรู้เทรนด์เรื่อง
Climate Change ตามทิศทางของโลกเพื่อนำไปปรับใช้กับการวางแผนธุรกิจด้วย”
นางอรมน กล่าวสรุป