บมจ.ไรท์ทันเน็ลลิ่ง เผย การประกาศปิดไซต์งานก่อสร้างจาก ศบค. 30 วัน ได้รับผลกระทบเล็กน้อย มีแค่งานท่อลอดสายไฟลงใต้ดินที่ต้องขอผ่อนปรน อย่างไรก็ตามปีนี้ ยังมองหาโครงการใหม่ให้มาร์จิ้นสูง มีทั้งรอเซ็นสัญญาและฟังผลประมูล ซึ่งสิ้นสุด มี.ค.ที่ผ่านมา มีงานในมือรวมมูลค่า 3.2 พันล้าน ซึ่งจะรับรู้รายได้ยาวถึงปี 2566
นายชวลิต ถนอมถิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไร้ท์ทันเน็ลลิ่ง จำกัด (มหาชน) (RT) เปิดเผย ว่า ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส โคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. มีประกาศให้ปิดไซต์งานก่อสร้างและที่พักแรงงานภายในพื้นที่เขตกทม. ปริมณฑล และ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงห้ามแรงงานเดินทางออกนอกพื้นที่เป็นระยะเวลา 30 วัน และห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานเป็นการชั่วคราว เพื่อควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
จากประกาศดังกล่าว บริษัทฯ ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยและเป็นมีผลแค่ระยะสั้น เนื่องจากโครงการส่วนใหญ่ของไร้ท์ทันเน็ลลิ่งอยู่ในต่างจังหวัดทั่วประเทศ มีเพียงโครงการเดียวที่อยู่ระหว่างดำเนินการในเขตพื้นที่ปริมณฑล คือ โครงการก่อสร้างท่อลอดสายไฟฟ้าลงใต้ดิน ซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินการทำจดหมายขอผ่อนปรนให้สามารถก่อสร้างงานส่วนที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายหรืออันตรายต่อสาธารณะ
สำหรับแผนการดำเนินงานและทิศทางธุรกิจของบริษัทฯ ในครึ่งปีหลังปี 2564 ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตจากแผนที่วางไว้ โดยจะมุ่งเน้นรับงานในประเทศที่มีมาร์จิ้นสูงและงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งปัจจุบันมีงานที่ประมูลได้แล้วรอเรียกลงนามในสัญญา จำนวน 3 สัญญา รวมมูลค่างาน 615 ล้านบาท ได้แก่ งานก่อสร้างทางหลวงและสะพานชั้นพิเศษ จ.สงขลา เป็นการร่วมทุนกับบริษัท วิวัฒน์ก่อสร้าง จำกัด มูลค่าสัญญา 560 ล้านบาท งานก่อสร้าง Slope Protection จำนวน 2 สัญญา มูลค่ารวม 55 ล้านบาท และมีงานประมูลที่อยู่ระหว่างรอพิจารณาผล จำนวน 2 งาน รวมมูลค่า 619 ล้านบาท ได้แก่งาน Pipe Jacking โครงการก่อสร้างท่อลอดสายไฟฟ้าลงใต้ดินในกรุงเทพฯ มูลค่า 523 ล้านบาท และงานปรับปรุงดินชั้นฐานรากอ่างเก็บน้ำ จ.ประจวบคีรีขันธ์ มูลค่า 95 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีงานอยู่ระหว่างเจรจารับงานเพิ่มทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ งานอุโมงค์ทางรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ และงานอุโมงค์ดินอ่อนในกรุงเทพฯ โดยบริษัทมีมูลค่างานในมือ (ณ วันที่ 31 มี.ค.) อยู่ที่ 3,213 ล้านบาท จะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องในปี 2564-2566 หากการดำเนินงานเป็นไปตามแผนที่วางไว้จะส่งผลให้บริษัทมี Backlog อยู่ที่ 7,000 ล้านบาทภายในปีนี้