สำหรับปี 2568 บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (TEGH) ตั้งเป้ารายได้รวมเติบโต 30% แตะระดับ 22,000 ล้านบาท จากทุกกลุ่มธุรกิจ
ทั้งยางธรรมชาติ น้ำมันปาล์ม และพลังงานทดแทนและรับบริหารจัดการกากอินทรีย์
โดยเฉพาะธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแท่ง มีโอกาสที่ยอดขายจะทำสถิติสูงสุดใหม่ (All
Time High) จากปริมาณขายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 250,000-280,000 ตัน และราคายางธรรมชาติปรับตัวสูงขึ้น
“ปีนี้มีแนวโน้มว่ายอดขายยางแท่งเกรด EUDR จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปีก่อนที่มียอดขายทั้งหมด 51,743 ตัน คิดเป็นสัดส่วน 45.11% ของปริมาณการส่งออกยางแท่งทั้งหมดในครึ่งปีหลัง สะท้อนถึงความสามารถในการขยายฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ และความต้องการสินค้ายางแท่งเกรด EUDR โดยเฉพาะตลาดยุโรป ที่ถึงแม้จะมีการเลื่อนการบังคับใช้กฎหมาย EUDR ออกไปอีก 1 ปี โดยจะเริ่มบังคับใช้ 31 ธ.ค. 2568 ก็ตาม
ขณะเดียวกัน
อุปสงค์ของ EUDR ที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลดีต่อผลบริษัทฯ
ในปีนี้ ทั้งในเชิงของปริมาณขายและอัตรากำไร และยืนยันว่า บริษัทฯ
ไม่ได้รับผลกระทบทางตรงจากมาตรการ Reciprocal Tariff ของสหรัฐอเมริกา
เนื่องจากอยู่ในรายการสินค้าที่ได้รับการยกเว้นจากการเก็บภาษีตามคำสั่งใหม่ (Annex
II และ Annex III) และ สหรัฐฯ
ยังคงไว้ซึ่งสถานะการยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้ายางแท่ง และยังไม่มีการจัดเก็บภาษีเพิ่มเติม
ส่วนธุรกิจปาล์มน้ำมันจะสามารถเทิร์นอะราวด์ได้ในปีนี้
จากปัจจัยการลงทุนเครื่องจักรไปในปี 2567 และผลผลิตปาล์มที่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าปีก่อนที่ได้รับผลกระทบจะสภาวะเอลนีโญ
รวมถึงสายพลังงานที่จะเติบโตได้ตามแผนในปีนี้
ล่าสุด
TEGH เตรียมจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดผลการดำเนินงานปี 2567 (1 เม.ย. - 31 ธ.ค. 2567) ให้กับผู้ถือหุ้นเป็นเงินสดในอัตรา 0.21 บาท/หุ้น กำหนดขึ้น XD วันที่ 19 มี.ค. 2568
และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 23 พ.ค. 2568 รวมถึงอนุมัติแผน Spin-Off ของบริษัทย่อย
คือ บริษัท ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์ จำกัด (TEBP)
ในการออกและเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ต่อประชาชนครั้งแรก
(IPO) และแผนการนำหุ้นสามัญเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในปีนี้
เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินและสร้างการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต ซึ่งภายใต้แผน
Spin-Off นั้น TEBP จะเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้
(พาร์) เท่ากับหุ้นละ 1 บาท
โดยจะออกและเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่จำนวนไม่เกิน 75 ล้านหุ้น และ TEGH จะขายหุ้นเดิมจำนวนไม่เกิน
15 ล้านหุ้น รวมจำนวนหุ้นที่จะ IPO ทั้งหมดไม่เกิน
90 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 30.00% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ
TEBP โดยภายหลังการ IPO TEGH ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ
TEBP และ TEBP จะยังคงมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของ
TEGH ภายหลังการ IPO
นอกจากนี้ ผลลการดำเนินงานของกลุ่ม TEGH ในไตรมาส 1/2568
(สิ้นสุด 31 มี.ค. 2568) มีรายได้รวม จำนวน 5,667 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 176 ล้านบาท โดยมีรายได้จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ จำนวน 4,988 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,660 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 50
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยส่วนใหญ่มาจากรายได้จากการผลิตและจำหน่ายยางแท่ง
จำนวน 4,774 ล้านบาท และรายได้จากการผลิตและจำหน่ายน้ำยางข้น จำนวน 214 ล้านบาท ธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ
มีรายได้ 610 ล้านบาท
เพิ่มขึ้น 265 ล้านบาท
หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 77 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ส่วนธุรกิจพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์มีรายได้รวม
64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37 ล้านบาท
หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 141 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
โดยคิดเป็นรายได้จากการบริหารจัดการกากอินทรีย์ จำนวน 29 ล้านบาท ก๊าซชีวภาพ จำนวน 29 ล้านบาท
และรายได้จากกระแสไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ จำนวน 6 ล้านบาท
วันที่ 14 พฤษภาคม 2568