LPN สู้ต่อขอให้ถึงหมื่นล้าน บมจ. แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ ปรับแผนลดการเปิดโครงการเหลือแค่ 6 จากที่ตั้งไว้ถึง 9 โครงการในปีนี้
จากมาตรการที่ภาครัฐควบคุมการระบาดของโควิด-19 แต่ยังคงเป้าหมายยอดขายอยู่ที่
1 หมื่นล้านบาทเหมือนเดิม โดยจะมีทั้งบ้านแบบ privacy - คอนโด ที่จะเปิดตัว และถึงแม้ลูกค้าจะมาเยี่ยมชมโครงการไม่ได้
แต่ก็นำเทคโนโลยี 3-D Virtual Interactive มาใช้ให้เหมือนได้เห็นบ้านแบบเสมือนจริง
นายโอภาส
ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวล ลอปเมนท์
จำกัด(มหาชน) (LPN) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทในครึ่งหลังของปี
2564 ว่า จากการแพร่ระบาดของโควิด -19 ในไตรมาสสองที่ผ่านมาและยังคงต่อเนื่องในไตรมาสสามของปีนี้
ประกอบกับมาตรการปิดแคมป์คนงานก่อสร้าง 30 วันในเดือนกรกฎาคม
2564
และมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดล่าสุดตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ
COVID-19 ทำให้บริษัทฯ มีการปรับแผนการเปิดตัวโครงการในปีนี้
จากเดิมที่วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ประมาณ 8-9 โครงการ
มูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท ได้ปรับเปลี่ยนเป็นเปิดตัว 6 โครงการใหม่ มูลค่า 9,600 ล้านบาท
โครงการใหม่ที่เปิดตัวแล้ว
1 โครงการ คือ โครงการ “บ้าน 365
แจ้งวัฒนะ-เมืองทอง” ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มูลค่า 2,700
ล้านบาท และจะเปิดอีก 5 โครงการ มูลค่า 6,900 ล้านบาท ในครึ่งหลังของปี 2564
เป็นโครงการบ้านพักอาศัย 3 โครงการ มูลค่า 1,400 ล้านบาท และอาคารชุดพักอาศัย 2 โครงการ มูลค่ารวม 5,500 ล้านบาท โดยยังคงตั้งเป้ารับรู้รายได้รวมปี 2564
ไว้ที่ 7,000 ล้านบาท ตามแผนเดิมที่วางไว้
การลดจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่จาก
8-9 โครงการ เป็น 6 โครงการในปีนี้ นายโอภาส กล่าวว่า
ไม่ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายยอดขายรวมที่ตั้งไว้ที่ 10,000 ล้านบาท ในปี
2564 ขณะที่ยอดขายในครึ่งแรกของปี 2564 ทำได้ 4,170 ล้านบาท
หรือคิดเป็นสัดส่วน 41.70% ของเป้าหมายยอดขายที่วางไว้ ในขณะที่บริษัทฯ มีสินค้าคงเหลือพร้อมขาย ทั้งอาคารชุดพักอาศัยและบ้านพักอาศัย
มูลค่ารวม 9,500 ล้านบาท
และมียอดขายรอโอนอีกมูลค่า 2,700
ล้านบาท
“เราได้มีการนำเทคโนโลยีการเข้าเยี่ยมชมโครงการในแบบ
3-D Virtual Interactive เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าชมโครงการของบริษัทฯ ได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้นผ่าน
3-D Digital Platform โดยที่ลูกค้าไม่ต้องเดินทางมาที่โครงการและเป็นการลดการแพร่ระบาดของโควิด-19 และยังช่วยทำให้ยอดโอนเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้อีกด้วย” นายโอภาส
กล่าว
สำหรับการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 นายโอภาส กล่าวว่า บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวแบรนด์ใหม่สำหรับบ้านพักอาศัยในชื่อ
“Villa 168 @ Westgate” เป็นบ้านพักอาศัยที่ถูกออกแบบให้มีความเป็นส่วนตัวเพียง
20 หลัง บนทำเลศักยภาพย่านบางใหญ่ ใกล้แนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง
บางใหญ่-บางซื่อ มูลค่าโครงการ 226 ล้านบาท
และเปิดตัวบ้านพักอาศัยอีก 2 โครงการภายใต้แบรนด์ “ลุมพินี
ทาวน์เพลส” ที่ ลาดพร้าว 101-โพธิ์แก้ว มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท และ “ลุมพินี ทาวน์วิลล์” ที่ สายไหม 18-สะพานใหม่
มูลค่าโครงการ 562 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังเปิดตัวโครงการอาคารชุดพักอาศัย
2 โครงการ ได้แก่ โครงการ “ลุมพินี วิลล์ จรัญฯ-ไฟฉาย”
มูลค่าโครงการ 3,000
ล้านบาท และโครงการ “ลุมพินี มิกซ์ นราธิวาส-รัชดา” มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท โดยจะทะยอยเปิดตัวโครงการเมื่อสถานการณ์ล็อกดาวน์คลี่คลาย
อย่างไรก็ตาม
ถ้าสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลายได้เร็ว บริษัทฯ อาจจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มขึ้น
ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาเป็นโครงการอาคารชุดภายใต้แนวคิดใหม่ที่ตอบโจทย์สำหรับคน
Gen Y และ Young Affluent ที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่มีความเป็นส่วนตัว
ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีในรูปแบบของ “Smart Residence” ที่อาจจะเปิดตัวได้ปลายปีนี้หรือต้นปี
2565
ปัจจุบัน LPN อยู่ระหว่างการปรับปรุง Business Model เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
โดยตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้รวมแตะระดับ 20,000 ล้านบาท
ในปี 2567 ซึ่งในปี 2564 เป็นปีแรกที่มีการปรับโครงสร้างและกลยุทธ์องค์กร
ซึ่งจะค่อยๆ เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น ทำให้บริษัทฯเดินหน้าในการสร้างการเติบโตกลับมา
แม้ว่าในปัจจุบันจะมีปัจจัยกดดันต่อภาพรวมของธุรกิจเข้ามาอยู่ แต่เชื่อมั่นว่า
หากปัจจัยดังกล่าวได้คลี่คลายแล้ว บริษัทฯ
มีความพร้อมที่จะเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างเต็มที่เพื่อสร้างการเติบโตให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ซีอีโอ บมจ.แอล.พี.เอ็น.ฯ ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า
ตลาดอสังหาฯ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ที่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ลดลงประมาณ 30%
เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2563
เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 แต่บริษัทฯ
คาดว่าแนวโน้มของตลาดอสังหาฯ จะฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 โดยประมาณการณ์ว่า ตลาดอสังหาฯ จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่เติบโตประมาณ 5-10% ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564
เนื่องจากผู้ประกอบการอสังหาฯ
เร่งเปิดตัวโครงการใหม่เพื่อมาชดเชยกับสินค้าคงเหลือที่ลดลง
เพื่อให้สามารถสร้างรายได้ต่อเนื่องในปี 2565-2567
ขณะที่อัตราดอกเบี้ยต่ำและการฟื้นตัวของภาคการผลิตและการส่งออก
เป็นปัจจัยบวกที่กระตุ้นเศรษฐกิจและยอดขายอสังหาฯ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงทางธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ที่ยังคงเป็นเรื่องของภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นแตะระดับ 90% ทำให้สถาบันการเงินระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย
มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อสูงในระดับ 40-50% ประกอบกับความไม่มั่นใจในรายได้ในอนาคตของลูกค้าบางกลุ่มที่ทำให้ชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย
|