แผนการดำเนินธุรกิจในปี
2568 บริษัท ยูเรกา ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) (UREKA) ตั้งเป้าเป็นปีแห่งการเติบโตอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืน
จะเน้นการลงทุนในธุรกิจผลิตน้ำประปา ขายน้ำดิบ ซึ่งมีลูกค้าให้ความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะการเพิ่มการรับรู้รายได้ประจำของกิจการจำหน่ายน้ำประปา ผ่านบริษัทย่อย คือ
บริษัท โมเดิร์น ซินเนอร์ยี่ จำกัด ซึ่งได้รับสัมปทานประกอบกิจการประปา
และได้รับอนุญาตให้จำหน่ายน้ำประปาระยะเวลาสูงสุด 10 ปี
ขณะเดียวกันธุรกิจผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล
ซึ่งดำเนินธุรกิจโดยบริษัท เอ.พี.ดับเบิลยู. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (A.P.W.) มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 28,000 ตันต่อปี จะเน้นการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไรให้อยู่ในระดับสูง รวมถึงรักษากำลังการผลิตไว้ในระดับที่เหมาะสม
เพื่อรองรับออเดอร์ทั้งในและต่างประเทศ สร้างฐานรายได้ให้มากขึ้น
ปัจจุบัน
บริษัทฯ มีลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งยานยนต์ บรรจุภัณฑ์ กีฬา
และเครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ซึ่งยังคงมีสัญญาณดีต่อเนื่อง
รวมทั้งมีแผนขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่ม คาดว่าจะได้ผลตอบรับที่ดีโดยเฉพาะลูกค้าในประเทศจีน
ซึ่งเป็นตลาดส่งออกขนาดใหญ่ และมีความต้องการเม็ดพลาสติกในปริมาณสูงจะทำให้บริษัทฯ
อาจต้องขยายกำลังการผลิตในอนาคต เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่มากขึ้น
และถือเป็นสัญญาณที่ดีสนับสนุนให้ยอดขายเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด
ดังนั้นภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปีนี้
UREKA มีแนวโน้มเติบโตอย่างโดดเด่นทุกธุรกิจ
ทั้งธุรกิจผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล
และธุรกิจผลิตน้ำประปาที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี นอกจากนี้ UREKA มีความพร้อมที่จะเข้าลงทุนในโครงการใหม่ๆ เพื่อต่อยอดธุรกิจเดิม
โดยเฉพาะธุรกิจสาธารณูปโภค เนื่องจากมีศักยภาพทางการเงินที่แข็งแกร่ง
รองรับการขยายธุรกิจได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะเห็นความชัดเจนโครงการต่างๆ
ภายในครึ่งปีแรกของปีนี้ รวมถึงมีแผนที่จะเข้าไปลงทุนในธุรกิจใหม่
เพื่อเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ ทำให้มั่นใจว่าภาพรวมทั้งปี 2568 ผลดำเนินงานจะเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ พร้อมผลักดันให้ UREKA
สามารถย้ายจากตลาดหลักทรัพย์ mai เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
(SET) ได้ภายใน 2 ปีข้างหน้า
อนึ่งภาพรวมผลการดำเนินงานปี
2567 (สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2567)
บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ จำนวน 63.62 ล้านบาท
เพิ่มขึ้น 6.91 ล้านบาท คิดเป็น 12.18 %จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้จากการขายและการให้บริการจำนวน 268.29 ล้านบาท