คณะวิศวกรรมศาสตร์ พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ล้ำหน้าอีกขั้น กับการพัฒนานวัตกรรม
“เครื่องผลิตออกซิเจนการแพทย์กำลังสูง...แบบเคลื่อนที่ได้” เหมาะกับผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจขั้นวิกฤติ
ที่รักษาในโรงพยาบาลขนาดกลางและเล็ก ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสถานีทำความเย็น ซึ่งจากการใช้งานจริงที่ รพ.ภูมิพลอดุลยเดช สามารถผลิตออกซิเจนได้ความบริสุทธิ์มากกว่าร้อยละ
85
คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมเคมี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
(สจล.) คิดค้นนวัตกรรม ‘เครื่องผลิตออกซิเจนการแพทย์กำลังสูง...แบบเคลื่อนที่ได้’
โดยคว้ารางวัลเหรียญทองระดับโลกจากงานสิ่งประดิษฐ์นานาชาติ เจนีวา 2023 ณ
สมาพันธรัฐสวิส และล่าสุดคว้ารางวัลการวิจัยแห่งชาติ ประจำปี 2567
ด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ จากสำนักงานวิจัยแห่งชาติ (วช.) มุ่งเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของคนไทยจากโควิดขั้นวิกฤติและโรคระบบทางเดินหายใจ
พร้อมเสริมศักยภาพโรงพยาบาลขนาดกลาง-เล็กในภูมิภาค สามารถพึ่งพาตนเองได้
รศ. ดร.คมสัน มาลีสี
อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า
ทีมวิจัยคณะวิศวกรรมศาสตร์ ได้คิดค้นนวัตกรรมเป็นครั้งแรกของโลก
‘เครื่องผลิตออกซิเจนการแพทย์กำลังสูง...แบบเคลื่อนที่ได้’ (Mobile High-Flow Oxygen
Concentrator) ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจาก
สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
เป็นที่น่ายินดีที่ผลงานวิทยาศาสตร์-ชีวการแพทย์ของคนไทยสามารถคว้ารางวัลจากงานสิ่งประดิษฐ์นานาชาติ
เจนีวา 2023 และยังได้รับรางวัลงานวิจัยแห่งชาติ ปี 2567 ด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์
จาก วช. เป็นการตอกย้ำถึงความเป็นเลิศในการเป็นผู้นำนวัตกรรมระดับโลก
ดังวิสัยทัศน์ของ สจล.
นวัตกรรมต้นแบบนี้ออกแบบมาเชื่อมต่อตรงกับเครื่องจ่ายออกซิเจนแก่ผู้ป่วยได้
ทั้งแบบอัตราการไหลสูง (High Flow), แบบ Positive Pressure Ventilator รวมถึงเครื่องช่วยหายใจประเภทต่างๆ ใน โรงพยาบาล
ด้วยประสิทธิภาพและมีต้นทุนต่ำ
จึงตอบโจทย์สำหรับโรงพยาบาลขนาดกลางและขนาดเล็กในภูมิภาคที่มีจำนวนเตียงน้อย
หรืองบประมาณน้อย และยกระดับคุณภาพบริการทางการแพทย์แบบครบวงจรยุคใหม่ (Medical
Hub) ของไทย ตลอดจนการพัฒนาที่ยั่งยืนตาม SDG3
การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ดี
โดยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของคนไทยจากโรคทางระบบทางเดินหายใจได้อีกมาก และ SDG10 ลดความเหลื่อมล้ำเพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงเทคโนโลยีการบำบัดรักษา
ด้านผศ. ดร.ณัฐพล ฤกษ์เกษมสันติ์
อาจารย์ประจำภาควิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. และ หัวหน้าโครงการวิจัยฯ
กล่าวว่า จากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ต่อเนื่องมา
และโรคระบบทางเดินหายใจที่เพิ่มสูงขึ้นจากพฤติกรรมในการใช้ชีวิต ฝุ่น PM2.5
การประกอบอาชีพที่มีความเสี่ยง และโรคระบาด เช่น โรคไอกรน
ทำให้ความต้องการใช้ออกซิเจนเพิ่มขึ้น
เกิดปัญหาการขาดแคลนออกซิเจนสำหรับดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยขั้นวิกฤตที่ไวรัสทำลายเนื้อเยื้อในปอดจนเหลือน้อยลงมาก
ไม่สามารถหายใจด้วยตนเองได้ จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอัตราการไหลสูง (High-Flow
Nasal Cannula) กับระบบออกซิเจนเหลว
ซึ่งจะมีใช้กันในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีจำนวนเพียง 20%
เท่านั้นที่สามารถลงทุนสร้างระบบในการติดตั้งถังเก็บออกซิเจนเหลว
เดินท่อก๊าซความดันสูง และต้องพึ่งพาบริษัทผู้ผลิตมาส่งออกซิเจนเหลวให้
นอกจากนี้ ยังต้องจัดตั้งสถานีทำความเย็นขนาดใหญ่
ซึ่งใช้พลังงานสูงสำหรับระบบทำความเย็นเพื่อรักษาอุณหภูมิในถังให้ต่ำกว่าจุดเดือดของออกซิเจนอยู่ตลอดเวลา
จึงเป็นอุปสรรคของโรงพยาบาลขนาดกลางและขนาดเล็กในหลายภูมิภาคของไทยกว่า 700 แห่ง ที่ไม่สามารถดูแลรักษาผู้ป่วยขั้นวิกฤต
โรคระบบทางเดินหายใจได้
เนื่องจากมีงบการลงทุนน้อยหรือแม้จะมีงบพอแต่จำนวนเตียงน้อยก็สร้างไม่ได้เนื่องจากเอกชนเห็นว่าขาดความคุ้มค่าที่จะติดตั้งระบบออกซิเจนเหลว
ดังนั้นนวัตกรรมนี้จึงเป็นทางเลือกสำหรับ
รพ.ขนาดกลางและเล็กทดแทนการใช้ระบบออกซิเจนเหลว
เครื่องผลิตออกซิเจนการแพทย์กำลังสูงแบบเคลื่อนที่ดังกล่าว
ใช้หลักการเทคโนโลยี ‘การดูดซับสลับความดัน’ (Molecular Sieve) มีระบบเก็บสำรองออกซิเจนภายในเพื่อให้สามารถผลิตออกซิเจนบริสุทธิ์แก่ผู้ป่วยได้อย่างต่อเนื่อง
สามารถเชื่อมต่อสายออกซิเจนบนหัวจ่ายออกซิเจนที่มีมาตรฐานเดียวกับหัวจ่ายออกซิเจนเหลวของโรงพยาบาล
เคลื่อนย้ายง่าย ทำงานได้ตลอด 24 ชม. สะดวกในการใช้งาน
จากการใช้งานจริงในโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช พบว่า
เครื่องผลิตออกซิเจนการแพทย์กำลังสูงแบบเคลื่อนที่ได้
มีจุดเด่นในประสิทธิภาพการผลิตออกซิเจนได้ที่ความบริสุทธิ์มากกว่าร้อยละ 85
โดยปริมาตรที่อัตราการไหลมากกว่า 40 ลิตรต่อนาที และที่แรงดันไม่น้อยกว่า 3.7
บรรยากาศ สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวกด้วยบุคลากรเพียง 1 คน และที่สำคัญคือ ช่วยให้บุคคลากรการแพทย์สามารถเพิ่มโอกาสการฟื้นตัวเร็วและการรอดชีวิตแก่ผู้ป่วยมากขึ้น
ขณะที่รศ. ดร.สมยศ เกียรติวณิชวิไล คณบดี
คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. กล่าวว่า ประโยชน์ของเครื่องผลิตออกซิเจนการแพทย์กำลังสูงนี้ จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางสาธารณสุขและสุขภาพที่ดีทั่วไทย
เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีต้นทุนต่ำ
ที่จะสนับสนุนโรงพยาบาลขนาดกลางและขนาดเล็กทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดให้สามารถพึ่งพาตนเองในการผลิตออกซิเจนทางการแพทย์ได้เอง
ประหยัดการลงทุน ลดการนำเข้าอุปกรณ์ราคาแพง ลดการขาดแคลนออกซิเจน และให้คนไทยในภูมิภาคมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ จากข้อมูลทางการแพทย์
นอกจากโควิดแล้ว
ประเทศไทยยังมีผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจอีกหลายโรคที่จำเป็นต้องใช้เครื่องผลิตออกซิเจนแบบเคลื่อนที่ได้ในการบำบัดรักษาอาการวิกฤติ
เช่น โรคไอกรน ที่กำลังระบาดในหลายจังหวัด โรควัณโรคปอด โรคปอดอักเสบ
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ผู้ป่วยติดเชื้อเรื้อรังของเยื่อหุ้มกระดูก
โลหิตจางเนื่องจากเสียเลือดมาก โรคคาร์บอนมอนนอคไซด์เป็นพิษ / การสำลักควันไฟ
รวมถึงอาการกล้ามเนื้อปอดเป็นอัมพาตชั่วคราวจากการติดเชื้อ ‘คลอสทรีเดียม
โบทูลินัม’ ที่มักเกิดจากการกินอาหารที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ เช่น หน่อไม้ปี๊บ
เป็นต้น โรคกลุ่มนี้มักจะเป็นกับผู้ป่วยต่างจังหวัด
ทำให้การเข้าสู่ระบบการรักษาในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีระบบอุปกรณ์พร้อมในตัวเมืองเป็นไปได้ล่าช้า
ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมักเสียชีวิตในช่วงการนำส่งโรงพยาบาล
|