บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น ลงทุน 5 หมื่นล้านบาท พัฒนาทุกกลุ่มธุรกิจในระยะ
5 ปี ขับเคลื่อนภายใต้เทคโนโลยีดิจิทัลอันทันสมัย
โดยธุรกิจโลจิสติกส์ เน้นสร้างคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit
และแบบขนาดเล็ก ให้เหมาะกับธุรกิจ SMEs ส่วนด้านนิคม
เร่งขยายต่อเนื่องจากปลายปี’64-65 จำนวน 580 ไร่ และ 1,100 ไร่ ตามลำดับ รวมถึงที่เวียดนามด้วย
ขณะที่ WHAUP มองหาแหล่งน้ำดิบทางเลือก
เช่นเดียวกับสัญญาซื้อขายไฟ PPA ที่คาดว่าจะได้ถึง 700
MW
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม
บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WHA) กล่าวว่า แม้จะเป็นอีกปีที่ท้าทายด้วยการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่จำกัดโอกาสในการเดินทางของลูกค้าและนักลงทุนต่างประเทศ แต่บริษัทฯ ก็ยังคงสามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตได้
และรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งไว้ได้ และเพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของดับบลิวเอชเอ
จึงได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาปรับปรุงการดำเนินงาน โดยมีวัตถุประสงค์สองด้านคือ
หนึ่ง มอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้แก่ลูกค้า และสองคือ การพัฒนาการดำเนินงานให้ก้าวไปสู่ความเป็นเลิศ
ด้วยการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะมาใช้
ทิศทางแผนธุรกิจประจำปี 2565 และอนาคต
ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ได้ตั้งงบลงทุน
50,000 ล้านบาท
ไว้สำหรับการลงทุนภายใน 5 ปี ประกอบด้วย งบลงทุนสำหรับธุรกิจโลจิสติกส์ 18,000 ล้านบาท
ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม 18,000 ล้านบาท ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน 10,000 ล้านบาท
และอีก 4,000 ล้านบาท
สำหรับการลงทุนในธุรกิจดิจิทัล ธุรกิจสตาร์ทอัพและเทคโนโลยี
เพื่อขับเคลื่อนดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป
ด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะและทรานสฟอร์มองค์กรสู่บริษัทเทคโนโลยีอย่างสมบูรณ์
ด้วยเป้าหมายทรานส์ฟอร์มแกนหลักของธุรกิจสู่ดิจิทัล
ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปได้ริเริ่มโครงการเทคโนโลยีดิจิทัลขึ้นมาถึง 33 โครงการในปี 2564 ครอบคลุมธุรกิจของบริษัทฯ ในทุกด้าน
โดยมุ่งหวังที่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้พัฒนาความมั่นคงและประสิทธิภาพของการดำเนินงาน
และสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทฯ
ทั้งนี้แนวคิดนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศอัจฉริยะ (Smart Eco Industrial Estates) ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป
ที่มุ่งมั่นยกระดับการให้บริการผ่านการนำเทคโนโลยีดิจิทัลล้ำสมัยเข้ามาประยุกต์ใช้ในทุกกิจกรรม
ตั้งแต่การสื่อสาร ระบบขนส่ง การรักษาความปลอดภัย การควบคุมด้านสิ่งแวดล้อม
ไปจนถึงการผลิตน้ำและการบำบัดน้ำเสีย โดยศูนย์ควบคุมส่วนกลาง (Unified
Operation Center หรือ UOC) ซึ่งตั้งอยู่ที่อาคาร
WHA Tower ย่านบางนา และที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของ WHA ช่วยให้สามารถติดตามผลตัวชี้วัดด้านสิ่งแวดล้อมหลายๆ อย่างในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอในแบบเรียลไทม์
อาทิ ตรวจสอบคุณภาพอากาศและน้ำเสีย ระดับน้ำ การจราจร และความปลอดภัย
สำหรับก้าวต่อไปของการทรานสฟอร์มสู่ดิจิทัลของดับบลิวเอชเอคือ
การใช้เทคโนโลยีเพื่อหาแหล่งรายได้ใหม่ๆ จากผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นนวัตกรรมใหม่
และการใช้ข้อมูลเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนโรดแมปของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป
ที่ตั้งเป้าหมายจะก้าวเป็นบริษัทเทคโนโลยีให้ได้ภายในปี 2567
- ธุรกิจโลจิสติกส์ ของดับบลิวเอชเอ
มุ่งขยายธุรกิจในประเทศไทย พร้อมมองหาโอกาสใหม่ๆ ในเวียดนาม
สำหรับธุรกิจโลจิสติกส์ ในประเทศไทย
นอกเหนือจากฐานที่มั่นอันแข็งแกร่งในย่านบางนา-ตราดแล้ว WHA ตั้งเป้าที่จะขยายพื้นที่ให้บริการให้ครอบคลุมมากขึ้นในเชิงภูมิศาสตร์
รวมทั้งตอบโจทย์ความต้องการใหม่ๆ ในทำเลยุทธศาสตร์ใน 3
จังหวัดอีอีซี ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง
โดยจะขยายพอร์ทผลิตภัณฑ์ด้านโลจิสติกส์ให้ครอบคลุม ตั้งแต่อาคารคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit
และคลังสินค้าแบบทั่วไป ไปจนถึงอาคารคลังสินค้าที่มีขนาดเล็กลง
เพื่อรองรับความต้องการขององค์กรขนาดย่อมและธุรกิจ SMEs และตอบโจทย์เซ็กเมนท์ที่กำลังเติบโตกลุ่มนี้
ในส่วนต่างประเทศ บริษัทฯ จะให้ความสำคัญกับโอกาสต่างๆ
เพื่อเก็บเกี่ยวประโยชน์จากความต้องการอันแข็งแกร่งนี้
และใช้ประโยชน์จากขีดความสามารถที่มีอยู่ของดับบลิวเอชเอในเวียดนาม
บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในระยะยาวกับพันธมิตรระดับภูมิภาคและระดับโลกทั้งรายใหม่และที่มีอยู่แล้ว
โดยเน้นไปที่อุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูงอย่างธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ธุรกิจดูแลสุขภาพ
และธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค และเพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของผลิตภัณฑ์และบริการ
บริษัทฯ จะนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI
IoT Big Data ระบบอัตโนมัติ
และวิทยาการหุ่นยนต์ มาปรับใช้งาน และมองหาโอกาสใหม่ๆ ในเมตาเวิร์ส
เทคโนโลยีควอนตัม และระบบขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป เดินหน้าขยาย Office Solution ของบริษัทฯ
ประกอบด้วยอาคารสำนักงาน 6 แห่งในทำเลทอง
พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันและการออกแบบในกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ
โดยมีกลุ่มผู้เช่าเป้าหมาย ตั้งแต่กลุ่มสตาร์ทอัพที่กำลังเริ่มก่อตั้งธุรกิจ
ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ที่มั่นคงแล้ว โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าคว้าโครงการและสัญญาใหม่ๆ
ในปี 2565 ให้ได้ 180,500 ตารางเมตร
และยังมีสัญญาเช่าระยะสั้นอีก 100,000 ตารางเมตร
และคาดว่าจะมีทรัพย์สินภายใต้กรรมสิทธิ์และการบริหารรวมทั้งสิ้น 2,685,000 ตารางเมตร
- ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์
ยังคงยืนหยัดความเป็นผู้นำในประเทศไทย นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
และขยายธุรกิจในเวียดนามอย่างต่อเนื่อง
ในประเทศไทย ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล
ดีเวลลอปเมนท์ (WHAID) พร้อมที่สุดที่จะคว้าธุรกิจจากการฟื้นตัว
จากจำนวนที่ดินที่มีอยู่ 12,100 ไร่ ซึ่งรวมที่ดินอุตสาหกรรมที่พัฒนาแล้วพร้อมขายทั้งสิ้น
4,160 ไร่ ตั้งอยู่บนทำเลยุทธศาสตร์ โดยคาดว่า WHAID จะได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีน
อันเป็นผลจากความตึงเครียดทางการค้า ค่าแรง หรือการขาดแคลนพลังงาน
ดังจะเห็นได้จากสัดส่วนลูกค้าชาวจีน ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จำนวนกว่าร้อยละ 50
ของยอดขายที่ดินทั้งหมด นอกจากนี้
ยังเห็นความต้องการที่ดินจากลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมมูลค่าสูงโดยเฉพาะในกลุ่ม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) หรือกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค
สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อาหาร และด้านการแพทย์

ในช่วง 5 ปีข้างหน้า WHAID มีแผนที่จะพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น โดยในปี 2565 บริษัทฯ เตรียมขยายนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 4 เพิ่มอีก 580 ไร่ โดยได้เริ่มการก่อสร้างในไตรมาสที่
4 ปี 2564 ที่ผ่านมา
และรวมถึงการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง เฟสแรก (1,100 ไร่) ที่เป็นโครงการร่วมทุนกับบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด
ซึ่งกำหนดจะเริ่มพัฒนาในปลายปี 2565
นอกจากนี้ WHAID จะต่อยอดการนำเสนอผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มรายได้ประจำและลดการพึ่งพาการขายที่ดิน
เช่น การจัดส่งก๊าซไนโตรเจน โดยบริษัท บีไอจี ดับบลิวเอชเอ อินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด
(BIG WHA) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง WHAID กับ บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด
ซึ่งเปิดให้บริการแล้วที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด (ระยอง)
และจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมก๊าซชนิดอื่นๆ
รวมถึงมีแผนการจะขยายพื้นที่ให้ครอบคลุมนิคมอุตสาหกรรมอื่นๆ ด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น WHAID จะใช้ประสบการณ์ที่มีของบริษัทฯ
ในการพัฒนาทัสพาร์ค ดับบลิวเอชเอ
ศูนย์สร้างนวัตกรรมและบ่มเพาะสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพ
ที่เปิดให้บริการใกล้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เพื่อก้าวไปสู่นิคมอุตสาหกรรมหรืออสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น บริษัทฯ
ยังมีความตั้งใจที่จะสำรวจโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ
ที่สอดคล้องไปกับแนวโน้มด้านความยั่งยืนและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
(Net Zero)
ส่วนในประเทศเวียดนาม WHAID จะต่อยอดความสำเร็จของโครงการเหงะอาน
เพื่อขยายธุรกิจของบริษัทไปสู่ระดับประเทศ โดยเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ
อินดัสเตรียล โซน เหงะอาน เฟส 1 พื้นที่ 900 ไร่ ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค
และการดูแลสิ่งแวดล้อมคุณภาพสูงสุด โดยมีนักลงทุนจากฮ่องกง ญี่ปุ่น ไทย จีน
และเวียดนาม จากอุตสาหกรรมต่างๆ เช่าพื้นที่แล้วกว่าครึ่งหนึ่ง และด้วยความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น
บริษัทฯ มีแผนที่จะเร่งพัฒนาเฟสต่อๆ ไป ซึ่งรวมถึงเฟสที่ 2 บนพื้นที่
2,200 ไร่ ที่มีกำหนดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในไตรมาสที่
1 ปี 2565 โดยเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ
รวมทั้งเฟส 1, 2 และส่วนต่อขยาย เขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ
อินดัสเตรียล โซน เหงะอาน จะมีพื้นที่โดยรวมทั้งสิ้น 11,550
ไร่
ทั้งนี้ หลังจากมีการลงนามในบันทึกข้อตกลงเมื่อเดือนธันวาคม
2563
กับคณะกรรมการประชาชนจังหวัดทัญฮว้า ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์
มุ่งมั่นเดินหน้าพัฒนาเขตอุตสาหกรรมใหม่อีก 2 แห่ง ได้แก่
โครงการ “WHA Smart Technology Industrial Zone - Thanh Hoa” ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองหลักของจังหวัด เพื่อตอบโจทย์ความต้องการจากนักลงทุนด้านเทคโนโลยีมูลค่าสูง
ขณะที่โครงการ “WHA Northern Industrial Zone - Thanh Hoa” ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ใกล้กับศูนย์ปิโตรเคมี
Nghi Son จะมุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายอุตสาหกรรมกลางน้ำและปลายน้ำ
โดยคาดว่าการย้ายชุมชนและการก่อสร้างจะเริ่มดำเนินการในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข้อจำกัดด้านการเดินทางในปี 2564
แต่ยอดขายที่ดินทั้งในประเทศไทยและเวียดนามยังสูงถึง 855 ไร่
และด้วยกิจกรรมการพัฒนาลูกค้าที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จึงคาดการณ์ว่าในปี 2565 ยอดขายที่ดินจะเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 46 หรือใกล้เคียง
1,250 ไร่ ทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม
WHAUP มุ่งต่อยอดธุรกิจสาธารณูปโภคให้เติบโตต่อเนื่องทั้งภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ
กรุ๊ป ทั้งที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยและเวียดนาม
รวมถึงพัฒนาและริเริ่มโซลูชันพลังงานหมุนเวียนใหม่ๆ
โดยเฉพาะโครงการพลังงานแสงอาทิตย์

- ธุรกิจสาธารณูปโภค ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตีส์ แอนด์
พาวเวอร์ (WHAUP)
จะใช้ความเชี่ยวชาญ เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม อาทิ Wastewater
Reclamation และน้ำปราศจากแร่ธาตุ (Demineralized water) ให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมทั้งภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ
อาทิ ผู้พัฒนาที่ดินอุตสาหกรรมรายอื่น เทศบาลเมือง และชุมชนต่างๆ นอกจากนี้
ยังมีแผนที่จะขยายธุรกิจน้ำในแนวดิ่งให้เติบโตมากขึ้น
โดยการสำรวจหาแหล่งน้ำดิบทางเลือกต่างๆ เพื่อความมั่นคงและลดต้นทุนในการซื้อน้ำดิบ
และยังได้นำแพลตฟอร์ม “Smart Utilities Services” และ “Innovative
Solution” มาให้บริการแก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเออีกด้วย
ส่วนในประเทศเวียดนาม WHAUP ยังมองหาโครงการใหม่ๆ
รวมถึงโอกาสในการลงทุนเข้าซื้อกิจการ (M&A) เพิ่มเติมอีกด้วย
ซึ่งปีนี้คาดว่าจะมีปริมาณการจำหน่ายและบริหารน้ำสูงถึง 128
ล้านลูกบาศก์เมตรในประเทศไทย และ 25
ล้านลูกบาศก์เมตรในเวียดนาม
สำหรับธุรกิจด้านพลังงาน WHAUP เตรียมพร้อมเดินหน้าพัฒนาโซลูชั่นพลังงานสะอาดและเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าให้มากขึ้น
ทั้งจากโครงการโซลาร์รูฟท็อปและโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะ (Waste-to-energy) โดยตั้งเป้าหมายสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ที่ลงนามแล้ว
150 เมกะวัตต์ภายในสิ้นปี 2565 นอกจากนี้
บริษัทยังเตรียมนำเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น ระบบการซื้อขายไฟฟ้าแบบ Peer-to-Peer
(P2P) และระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ Smart Microgrid มาใช้ในนิคมอุตสาหกรรม โดยคาดว่าในปี 2565 บริษัทฯ
จะมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ตามสัดส่วนการถือหุ้นสูงถึง 700 เมกะวัตต์

ดับบลิวเอชเอ ดิจิทัล แพลตฟอร์ม
นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป
ด้วยการเดินหน้าวางโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงเป็นผู้นำในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในทุกกลุ่มธุรกิจ
โดยปัจจุบันได้มีการติดตั้งโครงข่ายสายเคเบิลใยแก้วนำแสง (FTTx) เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม
9 แห่ง และมีแผนจะขยายเพิ่มเป็น 11
แห่งภายในปี 2565 ดับบลิวเอชเอ ดิจิทัล แพลตฟอร์ม
ได้ขยายธุรกิจให้ครอบคลุมการบริหารจัดการเสาโทรคมนาคมใหม่ทั้งหมดภายในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ
ซึ่งจะรวมถึงการก่อสร้างเสาโทรคมนาคมและสถานีฐาน
และการให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมมาเช่าพื้นที่บนเสาโทรคมนาคมเพื่อติดตั้งอุปกรณ์ที่จำเป็นในการรับและกระจายสัญญาณเครือข่ายทั้ง
3G, 4G และ 5G
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีกำไรพิเศษจาการจำหน่าย Data Center 2 แห่ง
ในขณะที่ธุรกิจศูนย์บริการระบบข้อมูลสารสนเทศ (Data Center) บริษัทฯ
มีกำไรจากการจำหน่ายดาต้าเซ็นเตอร์ 2 แห่ง
จากการปรับปรุงแผนธุรกิจดิจิทัลของบริษัทฯ
ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกของปี 2565
ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป
มีแผนที่จะจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้น
เพื่อเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัลและนำนวัตกรรมรวมถึงเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในทุกกลุ่มธุรกิจของดับบลิวเอชเอ
โดยดับบลิวเอชเอ ได้มองหาธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยเฉพาะบริษัทที่เติบโตขึ้นมาในประเทศ
มาเป็นพันธมิตรด้านเทคโนโลยีที่สำคัญ
“เรามองปี 2565 ด้วยความมั่นใจและในด้านบวก
เพราะเชื่อว่า ข้อจำกัดต่างๆ จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะเริ่มคลี่คลาย
โดยเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในช่วงห้าปีข้างหน้า
เราจะเดินหน้ากระบวนการทรานสฟอร์มธุรกิจทุกฮับของเราให้เป็นดิจิทัลต่อไป
โดยใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะและนวัตกรรมเพื่อยกระดับการดำเนินงานของเราให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ความพร้อมทางด้านดิจิทัลของเราและความสามารถในการนำเทคโนโลยีใหม่มาปรับใช้ตามแผนการลงทุนของบริษัทฯ
จะส่งผลต่อความสามารถของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปในการต้อนรับนักลงทุน
และเปลี่ยนสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
รวมถึงช่วยขับเคลื่อนนโยบายอุตสาหกรรม 4.0 ของรัฐบาลได้เป็นอย่างมาก”
นางสาวจรีพร กล่าวสรุป
|