“โคเปนเฮเกน” เมืองแห่งจักรยาน

          พื้นที่ Orestad ทางตะวันออกของโคเปนเฮเกนได้ถูกพัฒนาขึ้นด้วยแนวทาง TOD เพื่อเสริมกับแผนงาน Finger plan ซึ่งมีการพัฒนาทางเท้า โดยเฉพาะเส้นทางจักรยาน ที่มีความชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น ซูเปอร์ไฮเวย์ สัญญาณสำหรับการขับขี่ ทำให้คนหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะ การเดิน จักรยาน รวมกันมากถึง 78% แทนการใช้รถส่วนตัว และภายในปี 2567 จะส่งเสริมให้ประชาชนให้มาขี่จักรยานให้ได้ 50% ถือเป็นเมืองต้นแบบที่ดีในการนำไปประยุกต์ใช้ 

         เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เป็นหนึ่งในเมืองที่มีการนำ TOD (Transit Oriented Development) หรือแนวทางการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีขนส่งสาธารณะ มาใช้ในการพัฒนาเมืองในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เมืองนี้มีอัตราการใช้จักรยานเดินทางสูงถึงร้อยละ 44 เปอร์เซ็นต์ ของการเดินทางสัญจรทั้งหมดของเมือง ขณะที่เมืองใหญ่ที่นำแนวทาง TOD มาใช้ ส่วนใหญ่แล้วจะมีอัตราการใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากกว่าการเดินทางในรูปแบบอื่น   



        อะไรที่ทำให้ TOD ของเมืองโคเปนเฮเกน มุ่งเน้นการพัฒนาเส้นทางจักรยาน จนได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่งจักรยาน 

        เรื่องราวการพัฒนา TOD ของเมืองนี้เริ่มต้น ในปี พ.ศ.2490 สำนักวางผังเมืองกรุงโคเปนเฮเกน ได้เริ่มแผนพัฒนาเมืองที่เรียกว่า Finger plan หรือนิ้วทั้ง 5 ของโคเปนเฮเกน เพื่อป้องกันการกระจุกตัวของประชากรในใจกลางเมือง ด้วยการสร้างระบบขนส่งสาธารณะกระจายไปยังโซนพื้นที่รอบนอกด้านทิศเหนือและทิศตะวันตกของเมือง แยกออกเป็น 5 โซน ซึ่งแผนการพัฒนานี้ มีความคล้ายคลึงกับแนวทางของ TOD ในแง่การใช้ระบบขนส่งสาธารณะเชื่อมต่อพื้นที่ต่างๆ เข้าสู่ใจกลางเมือง แต่มีความแตกต่างตรงที่ Finger plan ไม่มีแผนรองรับเรื่องการสร้างโครงข่ายทางเดินเท้าและจักรยาน การจัดสรรพื้นที่แบบผสมผสาน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลในระยะยาว ส่งผลให้มีการเพิ่มจำนวนการใช้งานรถยนต์ในเมืองโคเปนเฮเกนสูงขึ้นทุกปี จนเกิดปัญหารถติดและมลภาวะทางอากาศอย่างเลี่ยงไม่ได้ 

        ปัญหาและเวลาผ่านมาล่วงเลยจนเข้าปี พ.ศ.2523 เกิดวิกฤตราคาน้ำมันแพง ปัญหาการจราจรติดขัดถึงขั้นที่ทำให้ชาวเมือง รวมตัวกันเรียกร้องต่อสภาเมืองให้มีการสร้างเส้นทางสำหรับจักรยานที่มีความปลอดภัยสำหรับพวกเขา เพื่อแก้ปัญหารถติดและราคาน้ำมันแพง การสร้างเส้นทางจักรยานจึงเริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะหยุดยั้งการเติบโตของจำนวนรถยนต์บนท้องถนนในกรุงโคเปนเฮเกน 

        กระทั่งในปี พ.ศ.2533 มีโครงการพัฒนาพื้นที่ใหม่ที่ชื่อว่า Orestad ซึ่งอยู่ทางด้านตะวันออกของเมือง บ้างก็เรียกว่าเป็นนิ้วพิเศษของโคเปนเฮเกน บ้างก็ว่าเป็นข้อมือ แต่อย่างไรก็ตามการพัฒนาพื้นที่นี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของโคเปนเฮเกน เพราะเป็นพื้นที่ที่มีการนำแนวทางการพัฒนา TOD มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ และเพื่อให้เกิดความสอดคล้องกับการพัฒนาเมืองที่มีอยู่ จึงมีการนำแนวทาง TOD มาเสริมกับแผนพัฒนานิ้วทั้ง 5 ของโคเปนเฮเกน ด้วยการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีขนส่งสาธารณะ ปรับปรุงโครงข่ายทางเดินเท้า และเส้นทางจักรยานให้ดีขึ้นกว่าเดิม 

       นับจากนั้นเป็นต้นมา เริ่มมีการแบ่งพื้นที่ถนนมาใช้ในการสร้างเส้นทางจักรยานและโครงข่ายทางเดินเท้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากพื้นที่รอบสถานีขนส่งสาธารณะย่าน Orestad และใจกลางเมืองโคเปนเฮเกน แล้วกระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ ด้วยโครงการและแนวทางในการพัฒนาดังต่อไปนี้



     - สร้างเส้นทางจักรยานปลอดภัย เลนจักรยานมีความกว้างพอที่จะปั่นจักรยานตีคู่ หรือแซงได้อย่างปลอดภัย มีขอบกั้นชัดเจนระหว่างทางเดินเท้า กับเลนรถยนต์ และมอเตอร์ไซค์ก็ไม่สามารถเข้ามาใช้เลนจักรยานได้ 

     - สร้างเส้นทางพิเศษสำหรับจักรยานโดยเฉพาะ เช่น การสร้างเส้นทางลัดสำหรับจักรยานที่ชื่อว่า Cycle Snake หรือโครงการสร้างซูเปอร์ไฮเวย์สำหรับจักรยาน จากพื้นที่ชานเมืองเข้าสู่ตัวเมือง

     - มีกฎจราจรและสัญญาณไฟสำหรับจักรยานโดยเฉพาะ ผู้ขับขี่จักรยานทุกคนจะต้องขับขี่ไปตามช่องทาง และทิศทางที่กำหนดเท่านั้น 

     - สร้างจุดจอดรถจักรยานอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนอย่างทั่วถึง จัดกิจกรรมส่งเสริมการปั่นจักรยาน เช่น วันคาร์ฟรีเดย์ กิจกรรมแจกจักรยานคันใหม่ มีบริการฉุกเฉินสำหรับผู้ใช้จักรยาน รวมทั้งดูแลเส้นทางจักรยานไม่ให้ทรุดโทรม เส้นทางจักรยานจึงดูใหม่เสมอ 

       นโนบายและโครงการทั้งหมดนี้ทำให้การปั่นจักรยานในเมืองโคเปนเฮเกน มีความสะดวกรวดเร็วและถึงที่หมายเร็วกว่าการขับรถส่วนบุคคลถึงครึ่งหนึ่ง และลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางต่อวันถึง 3 เท่า มีจำนวนผู้ใช้จักรยานเพิ่มจากปี พ.ศ.2523 ที่มีจำนวนผู้ใช้จักรยานเดินทางในแต่ละวันอยู่ที่ 20 เปอร์เซ็นต์ ได้เพิ่มขึ้นมาแตะระดับ 44 เปอร์เซ็นต์ในปี พ.ศ.2562 และจากการสำรวจเมื่อปี พ.ศ.2562 พบว่าชาวเมืองโคเปนเฮเกนนิยมการเดินทางด้วยการเดิน เฉลี่ยอยู่ที่ 7 เปอร์เซ็นต์ และใช้ระบบขนส่งสาธารณะอยู่ที่ 27 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเอาตัวเลขการเดินเท้าและระบบขนส่งสาธารณะมารวมกับตัวเลขการปั่นจักรยานเพื่อการเดินทาง ก็จะได้ยอดรวมการเดินทางที่ช่วยลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล สูงถึง 78 เปอร์เซ็นต์  



       อย่างไรก็ตาม เมืองโคเปนเฮเกนก็ไม่ได้หยุดการพัฒนาไว้แต่เพียงแค่นี้ พวกเขาตั้งเป้าขยายเส้นทางและสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินตามแผนนิ้วทั้ง 5 ของโคเปนเฮเกนที่ได้วางรากฐานเอาไว้ตั้งแต่ต้น โดยนำแนวทางพัฒนาพื้นที่รอบสถานีขนส่งสาธารณะ TOD เข้าไปเสริมให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน 

       ขณะที่เส้นทางจักรยานซึ่งกลายเป็นจุดเด่นของโคเปนเฮเกน ก็ยังพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยตั้งเป้าพัฒนาเส้นทางจักรยานเพื่อดึงดูดประชาชนให้หันมาใช้จักรยานในการเดินทางเฉลี่ยต่อวัน เพิ่มขึ้นเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ของการเดินทางทั้งหมดในเมือง ภายในปี พ.ศ.2567   

      นับเป็นความสำเร็จของ TOD ที่เข้ามาช่วยเสริมศักยภาพให้กับแผนการพัฒนา Finger Plan ของเมืองโคเปนเฮเกน ในการพัฒนาโครงข่ายทางเดินเท้าและเส้นทางจักรยานที่ปลอดภัย ส่งผลให้โคเปนเฮเกน สามารถจูงใจให้ประชาชนใช้ระบบขนส่งสาธารณะ เดินเท้า และปั่นจักรยาน ลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล จนกลายเป็นเมืองหลวงแห่งจักรยาน ต้นแบบการพัฒนาเส้นทางจักรยาน ที่นักวางผังเมืองต่างยกให้เป็นกรณีศึกษา ที่ควรค่าแก่การนำมาพัฒนาทุกเมืองทั่วโลก

 
เว็บสำเร็จรูป
×