ออเนอร์ปักหมุดใหม่พัทยาสาย 3

         ออเนอร์ กรุ๊ป ทุ่มทุน 2,000 ล้านบาท สร้างคอนโดมิเนียม ONCE PATTAYA และอีก 1,500 ล้านบาท ทำโรงแรม ซึ่งได้ประเมินแล้วว่าทำเลชลบุรี พัทยายังมีอนาคต เห็นได้จากโครงการพัฒนา EEC ระบบขนส่ง ฯลฯ ที่ช่วยยกระดับชลบุรีเป็นเมืองท่าเหมือนโอซาก้า รวมถึงมาตรการใหม่จากกรมที่ดิน ที่เอื้อประโยชน์ต่อการลงทุนในภาคอสังหาฯ 



         บริษัท ออเนอร์ กรุ๊ป จำกัด ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในพัทยามากว่า 20 ปี ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนาและการขาย นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะขยายการโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งแนวสูงและแนวราบประเภท พูลวิลล่า เพื่อรองรับกับความต้องการของผู้บริโภคให้ครบทุกเซ็กเมนต์ เพราะเชื่อว่าตลาดที่อยู่อาศัยยังมีดีมานด์ ทั้งซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังแรก เป็นบ้านหลังที่สอง โดยเฉพาะในภาวะเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ชนะเงินเฟ้อถือเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่งของนักลงทุน ได้ผลตอบแทนในระดับ 5-6% ขึ้นไป

        *เดินหน้าลุยโครงการ Mixed-Use สร้างจุดต่างใจกลางเมืองพัทยารับแผนบูม EEC

         นางสาวธิดา เชิดสุริยา ประธานกรรมการบริหาร บริษัทในเครือออเนอร์ กรุ๊ป ผู้พัฒนาโครงการ คอนโดมิเนียม ONCE PATTAYA กล่าวว่า ตัวโครงการฯ ก่อสร้างบนที่ดินกว่า 4.5 ไร่ ติดถนนพัทยาสาย 3 ประกอบด้วยโรงแรม ร้านค้า และคอนโดมิเนียม มีมูลค่าการลงทุนกว่า 3,500 ล้านบาท โดยคอนโดมิเนียมเป็นอาคารสูง 32 ชั้น จำนวนห้องพักรวม 427 ยูนิต ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 28.4-201 ตร.ม. รวมมูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท 

         ปัจจุบันคอนโดมิเนียมมียอดขายแล้วประมาณ 70% ซึ่งมีทั้งลูกค้าคนไทยและชาวต่างชาติ ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเป็นบ้านหลังที่ 2 และซื้อเพื่อลงทุน ซึ่งทางโครงการยังได้บัตรสมาชิก “Thailand Elite” ของบริษัทไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด (ทีพีซี) รับสิทธิพิเศษของ Privilege Elite Visa สามารถอยู่อาศัยระยะยาวแบบ Long Stay Visa ในเมืองไทยได้นานถึง 20 ปี และขณะนี้ทางโครงการได้จัดโปรโมชั่น Guarantee Yield 6% นาน 3 ปี ด้วยเช่นกัน หากลูกค้าสนใจสามารถเข้าไปชมรายละเอียดโครงการได้ที่ www.honourthailand.com

   

        สำหรับความคืบหน้าการก่อสร้างคอนโดมิเนียม ONCE PATTAYA นั้นงานด้านโครงสร้างดำเนินงานไปแล้ว 99% งานด้านสถาปัตย์อยู่ที่ 70% และงานวางระบบต่างๆ อยู่ที่ 90% สรุปโดยรวมแล้วงานก่อสร้าง ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2565 ดำเนินงานไปแล้วอยู่ที่ 80% คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมโอนให้ลูกค้าเข้าอยู่ได้ตามแผนภายในต้นปี 2566 

       ส่วนความคืบหน้าของโรงแรมฮิลตัน การ์เด้น อินน์ พัทยา ซิตี้ ขณะนี้ได้ผ่านรับมติเห็นชอบรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเรียบร้อยแล้วและได้เริ่มงานก่อสร้างในส่วนที่เป็นฐานรากแล้ว มีมูลค่าก่อสร้างประมาณ 1,500 ล้านบาท เป็นอาคารสูง 29 ชั้น ขนาด 300 ห้อง พร้อมร้านค้าปลีก 6 ร้าน ขนาดพื้นที่รวม 28,000 ตร.ม. กำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2567 

        

      “ทั้งสองโครงการ คือ โรงแรม HILTON GARDEN INN PATTAYA CITY และคอนโดมิเนียม  ONCE PATTAYA นี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันที่พร้อมบริการลูกค้าผู้บริโภคประกอบกับโครงการตั้งอยู่ในทำเลทองจะส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของเมืองในย่านพัทยาเหนือ และส่งเสริมเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้มีการเติบโต” นางสาวธิดา กล่าว 

      คอนโดมิเนียม ONCE PATTAYA ได้ใช้วัสดุก่อสร้างเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตกับลูกบ้าน อาทิ ระบบสแกนใบหน้าสำหรับเข้า-ออก อาคาร ระบบสแกนทะเบียนรถในการเข้า-ออกโครงการ พื้นที่จอดรถติดตั้งเครื่องชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ระบบคิวอาร์โค้ดให้ผู้มาติดต่อเพื่อความสะดวกแก่ลูกบ้าน ประตูทางเข้าทุกอย่างเป็นระบบ Touchless มีเซ็นเซอร์ เปิดประตูอัตโนมัติโดยไม่ต้องสัมผัสที่จับเลย 



        ด้านนายคริส เชิดสุริยา ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหาร บริษัท ออเนอร์ กรุ๊ป จำกัด ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในพัทยามากว่า 20 ปี เปิดเผยว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากโควิด-19 ค่อยๆ คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากที่มีการเปิดประเทศมากขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมา ซึ่งนอกจากนักท่องเที่ยวชาวไทยแล้ว ยังมีชาวต่างชาติเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะชาวอินเดีย คาดว่าตลอดทั้งปี 2565 นี้จะมีนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวในไทยราว 6 ล้านคน และจะสร้างรายได้กว่า 6 หมื่นล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 2563 และคาดการณ์ปลายปี 2565 ทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวและยอดรายได้ที่เกิดจากนักท่องเที่ยวน่าจะขยับขึ้นมาอยู่ที่ 90% ก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 

       “ผมมองว่าเราผ่านจุดต่ำสุดแล้ว หลายๆ ธุรกิจเริ่มกลับมา อสังหาฯ หลายโครงการพัฒนากันอย่างต่อเนื่อง และตอนนี้เทศกาลและกิจกรรมด้านการท่องเที่ยว ถูกจัดขึ้นตลอดทุกสัปดาห์ รวมทั้งผู้ประกอบ การทุกระดับตื่นตัวเพื่อรองรับลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ” นายคริส กล่าว 

       *ยกชลบุรีเป็น “เมืองท่า” เทียบชั้นโอซาก้า ของโตเกียว 

       นายคริส ให้ความเห็นว่า ทำเลพัทยา ชลบุรี จะยังคงมีการเติบโตด้านการลงทุนและตลาดอสังหาฯ  เพราะผู้ประกอบการยังเชื่อมั่นในศักยภาพของทำเลที่มีความพร้อมในหลายๆ ด้าน และการที่รัฐบาลให้ความสำคัญยกระดับให้ชลบุรีซึ่งเป็นหนึ่งในสามจังหวัดพื้นที่ EEC เป็นต้นแบบพัฒนาเชิงพื้นที่ยุทธศาสตร์ ประกอบกับได้มีนโยบายการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ หลายโครงการมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูง เชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง - สุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา) โครงการท่าเทียบเรือแหลมฉบัง และโครงการสนามบินอู่ตะเภา ฯลฯ รวมถึงโครงการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะเมืองพัทยา เช่น โครงการรถไฟรางเบา (โมโนเรล) เพื่อบริการรับ-ส่งผู้โดยสารที่เดินทางมาด้วยรถไฟความเร็วสูงให้เข้าสู่พื้นที่ของเมืองพัทยา และโครงการ NEO PATTAYA ยกระดับเป็นศูนย์กลางท่องเที่ยว EEC สร้างรายได้ชุมชนยั่งยืน ปัจจัยบวกเหล่านี้จะสนับสนุนให้พัทยา ชลบุรีไม่ใช่แค่เมืองท่องเที่ยว แต่จะกลายเป็น “เมืองท่า” สำคัญของกรุงเทพฯ เทียบได้กับโตเกียวที่มี “โอซาก้า” เป็นเมืองท่า 



      นอกจากนี้ ยังมีแม่เหล็กใหม่ที่จะดึงดูดกำลังซื้อและนักลงทุนให้เข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยนั่นคือ มาตรการของกรมที่ดิน ที่จะออกกฎกระทรวงมหาดไทยเพิ่มเติม เรื่องการให้สิทธิคนต่างด้าว (ต่างชาติ) ที่นำเงินมาลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท และคงการลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 3 ปี จะได้สิทธิถือครองที่ดินเพื่ออยู่อาศัยได้ไม่เกิน 1 ไร่ รวมถึงโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่ล่าสุดมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เข้าไปใช้ประโยชน์ที่ดิน ส.ป.ก.จำนวนกว่า 14,000 ไร่ ในท้องที่ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เพื่อพัฒนาโครงการศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ ใช้เงินลงทุนประมาณ 1.34 ล้านล้านบาท เกิดการจ้างงานใหม่ไม่น้อยกว่า 200,000 ตำแหน่ง มีระยะเวลาการพัฒนา 10 ปี (ปี 2566-2575) ซึ่งมาตรการและโครงการจากภาครัฐ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กลับมาฟื้นตัว 

 
เว็บสำเร็จรูป
×